U ปิดเช้าพุ่ง 26% มุ่งสู่ “การเงิน” โกยกำไร! สลัดอสังหาฯ-โรงแรม เข้ากองรีทรับ 4 หมื่นลบ. 

U ปิดเช้าพุ่ง 26% รับเดินหน้า “ธุรกิจการเงิน” หวังโกยกำไร-กลับมาจ่ายปันผล ด้วยโอกาสเติบโตได้เร็ว และมีมูลค่าการตลาดสูง หลังสลัดธุรกิจอสังหาฯ-โรงแรม ขายเข้ากองรีทรับ 4 หมื่นลบ. พร้อมบริษัทจะกลับเข้าไปถือกอง REIT สัดส่วน 20-30% เพื่อนำเงินไปลงทุน Financial Service ต่อไป


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (1 ก.ย.2564) ราคาหุ้นบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ U ปิดภาคเช้า อยู่ที่ระดับ 1.39 บาท เพิ่มขึ้น 0.29 บาท หรือเพิ่มขึ้น 26.36% โดยทำจุดสูงสุดที่ 1.43 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 1.12 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.53 พันล้านบาท

นายกวิน กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เปิดเผยว่า U ซึ่งเป็นบริษัทย่อย (BTS ถือหุ้น 36.22%) ได้เปลี่ยนการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาดำเนินธุรกิจบริการทางการเงิน (Financial Service) ในปี 2564 และในปี 2565 คาดว่าจะกลับมามีกำไรและสามารถจ่ายเงินปันผลได้ โดยหุ้นบุริมสิทธิ (U-P) จะมีสิทธิรับเงินปันผลก่อนหุ้นสามัญ

ด้านนายกวิน กล่าวว่า U ได้ตัดสินใจยุติธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโรงแรม เนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้อนาคตธุรกิจท่องเที่ยวเปลี่ยนไป โดยเฉพาะในช่วง 3-5 ปีคงยังไม่ฟื้นตัวได้มาก เพราะปัจจุบันโควิด-19 ก็ยังระบาดอยู่และไม่รู้ว่าจบลงเมื่อใด นักท่องเที่ยวยังไม่กลับมาได้เร็ว และคาดว่าผู้คนจะมีกำลังซื้อน้อยลง จึงปรับเปลี่ยน U เข้ามาประกอบธุรกิจ Financial Service หลังจากกลุ่ม BTS ได้เริ่มไปบ้างแล้วผ่าน บมจ.วีจีไอ (VGI) อาทิ การใช้บัตร rabbit เนื่องจากมองว่าธุรกิจ Financial Service ที่มีโอกาสเติบโตได้เร็ว และมีมูลค่าการตลาดสูงมาก

“เนื่องจาก Financial Service ดีกว่าอสังหาฯ เติบโตได้เร็ว เค้กที่แบ่งกันก็เป็นเค้กก้อนใหญ่มาก เราคิดว่าดีกว่าเก็บโรงแรมไว้…หวังว่าปีหน้าเริ่มปันผลได้ถ้าเรามีกำไร นายกวิน กล่าว

ทั้งนี้ U จึงได้ตัดสินใจขายอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมที่มีอยู่ เบื้องต้นคาดว่าจะได้เงินเข้ามาราว 4 หมื่นล้านบาท และยังเหลือสินทรัพย์ที่จะขายออกไปอีก 2.6 หมื่นล้านบาท ได้แก่ โรงแรม 2 แห่งในโปแลนด์ และกรุงปรากของเช็คโกสโลวาเกีย อาคารสำนักงานให้เช่าในอังกฤษ เป็นต้น คาดว่าจะใช้เวลาราว 2-3 ปีนี้ หลังจากได้ขายโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศไปแล้ว 1.4 หมื่นล้านบาท (คิดเป็น 35%) นำไปร่วมลงทุน บมจ.เจมาร์ท (JMART) และบมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) รวมจำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท และลงทุนธุรกิจประกีนชีวิตใน บมจ.แอ๊ดวานซ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต (A LIFE) ในสัดส่วนถือหุ้น 75% จำนวน 2 พันล้านบาท

ขณะที่อสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ระยะยาว อาทิ อาคารสำนักงานให้เช่า และโรงแรมในประเทศ อาทิ รร.อีสติน ก็มีแผนจะจัดตั้งเป็นกองทรัสต์ (REITs) แล้วขายเป็นสินทรัพย์เข้ากอง REIT และบริษัทจะกลับเข้าไปถือกอง REIT สัดส่วน 20-30% เพื่อนำเงินไปลงทุน Financial Service ต่อไป

ส่วนโครงการธนาซิตี้ คงไม่ได้ขายออกไป เพราะเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ถือโดย BTS มาตั้งแต่เป็น บมจ.ธนายง ซึ่งขณะนี้ยังพอเลี้ยงตัวเองได้จากการบริหารสนามกอล์ฟ และโรงเรียนนานาชาติ เป็นต้น

อย่างไรก็ตามคาดว่า U จะสามารถกลับมามีกำไรในปี 2565 และสามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลได้อีกครั้ง จากปี 2564 ที่คาดว่าจะยังขาดทุน แต่ก็จะมีผลขาดทุนลดลง เพราะหยุดดำเนินกิจการโรงแรมแล้ว

อนึ่ง U แจ้งผลประกอบการไตรมาส 2/64 มีผลขาดทุน 448.73 ล้านบาท ส่วนปี 63 มีผลขาดทุน 6,610.75 ล้านบาท

 

 

Back to top button