GULF ร่วมมือ “ไบแนนซ์” คาดตั้งศูนย์เทรด “คริปโต” Q2 วางเป้ารายได้ปี 65 โต 60%

GULF ร่วมมือ “ไบแนนซ์” คาดสรุปตั้งบริษัทร่วมทุนศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไตรมาส 2/65 พร้อมวางเป้ารายได้ปีนี้โต 60% และคาดกำลังการผลิตติดตั้งเพิ่มขึ้นเป็น 9,422 เมกะวัตต์ในปี 65


นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า หลังจากที่ บริษัท กัลฟ์ อินโนวา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ GULF ถือหุ้น 100% ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือกับกลุ่ม Binance เพื่อร่วมกันศึกษาและจัดทำแผนพัฒนาธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) คาดว่าจะได้ข้อสรุปและจัดตั้งบริษัทร่วมทุนได้ภายในไตรมาส 2/65 ก่อนที่จะขอใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Broker) และ แลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล

สำหรับภาพรวมผลประกอบการของบริษัทในปี 65 ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไว้ที่ราว 60% จากปี 64 ที่มีรายได้ที่ 49,983 ล้านบาท โดยจะมาจากการรับรู้การจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบใหม่ ได้แก่ โรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 3 และ 4 กำลังผลิตติดตั้ง 1,325 เมกะวัตต์ ทยอยเปิดจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในเดือน มี.ค.และ ต.ค.65, โรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเลที่เวียดนาม (Mekong Wind) คาดว่าจะเริ่ม COD ครบ 128 เมกะวัตต์ นอกจากยังมีโครงการโซลาร์รูฟท็อปผ่านบริษัท Gulf1 กำลังการผลิตรวม 100 เมกะวัตต์ โดยจะทยอย COD ตลอดทั้งปี

นอกจากนี้ บริษัทจะรับรู้ผลประกอบการเต็มปีโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 1 และหน่วยที่ 2 รวม 1,325 เมกวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้า DIPWP ระยะที่ 1 กำลังการผลิต 40 เมกะวัตต์ ที่ประเทศโอมาน ประกอบกับ จะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเต็มปีจากการลงทุนใน INTUCH ด้วย

ขณะเดียวกันบริษัทยังเดินหน้าศึกษาการขยายการลงทุนในโครงการใหม่ๆ ต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีแผนการขยายกำลังการผลิตพลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาการเข้าลงทุนเขื่อนผลิตไฟฟ้าใน สปป.ลาว 4-5 แห่ง กำลังการผลิตรวม 2,000-4,000 เมกะวัตต์ รวมไปถึงโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ และโรงไฟฟ้าพลังงานลมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งการพัฒนาโครงการเอง และการซื้อกิจการ (M&A) โดยตั้งเป้าปี 73 สัดส่วนพลังงานสะอาดจะมีมากกว่า 30%

ทั้งนี้ GULF จะมีกำลังการผลิตติดตั้งเพิ่มขึ้นจาก 7,875 เมกะวัตต์ในปี 64 เป็น 9,422 เมกะวัตต์ในปี 65 เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายกำลังผลิตติดตั้งโครงการโรงไฟฟ้าทั้งหมดเพิ่มเป็น 14,498 เมกะวัตต์ภายในปี 70 โดยหากคิดตามสัดส่วนการถือหุ้นจะมีกำลังการผลิตในมือทั้งหมดจะอยู่ที่ 8,005 เมกะวัตต์

Back to top button