“เฟทโก้” คงเป้าดัชนีปีนี้ 1,800 จุด ชี้ “รัสเซีย-ยูเครน” กระทบระยะสั้น

“เฟทโก้” ชี้หุ้นไทยเผชิญ “รัสเซีย-ยูเครน” กระทบระยะสั้น คงเป้าดัชนีปีนี้ 1,800 จุด แนะระยะสั้นลงทุนทองคำ-พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ สินทรัพย์ปลอดภัยสุด


นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ยังคงเป้าดัชนีหุ้นไทยปี 2565 ไว้ที่ 1,800 จุด (ในกรณีที่ราคาพลังงานจะต้องไม่ปรับตัวขึ้นจนไม่มีเพดาน) แม้ขณะนี้จะมีเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน แต่คาดว่าจะมีผลในระยะสั้น เพราะเมื่อย้อนดูเหตุการณ์ Geopolitical Risks หรือความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งต่อสถานการณ์ตลาดหุ้นทั่วโลกพบว่ามักจะฟื้นตัวได้เร็ว

ในอดีตมีสถาบันการเงินขนาดใหญ่ระดับนานาชาติได้รวบรวมสถิติไว้ พบว่า ในรอบ 80 ปีจะมีสงครามเกิดขึ้น 30 ครั้ง โดยค่าเฉลี่ยตลาดหุ้นมักตกเร็วและแรง แต่ก็ฟื้นตัวเร็วเช่นกัน โดยเฉลี่ยใช้เวลา 3 อาทิตย์จากวันเกิดเหตุการณ์และไปสู่จุดต่ำสุด โดยตลาดหุ้นจะปรับลดลงประมาณ 6-8% และจะกลับเข้าสู่ระดับเดิมภายในเวลา 3 อาทิตย์เช่นเดียวกัน และหลังจากนั้นจะขึ้นอยู่กับผลกระทบกับเศรษฐกิจที่มีต่อเหตุการณ์นั้นๆ ถ้าน้อยกว่า 12 เดือนให้หลัง ก็จะทำให้หุ้นก็จะปรับตัวขึ้นเกินกว่าระดับเดิม แต่หากเศรษฐกิจแย่หุ้นก็จะตก

ขณะที่จากเหตุการณ์ผลกระทบต่อตลาดหุ้นในรอบนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงไปสู่จุดต่ำสุดประมาณสัปดาห์ก่อนราว 8% ใกล้เคียงกับสถิติในอดีต โดยปัจจัยเสี่ยงในครั้งนี้คือ การส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของรัสเซียจะถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐและชาติพันธมิตรในยุโรปหรือไม่ เพราะถือเป็นกระเป๋าเงินใหญ่สุดของรัสเซีย แต่ก็เชื่อว่าการจะคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติมได้นั้น สหรัฐและชาติพันธมิตรจะต้องมีการหารือกับทางโอเปกก่อน จึงยังไม่น่าจะดำเนินการได้เร็ว

“คิดว่าโอเปกในขณะนี้ก็ถือไพ่เหนืออยู่ โดยทุกวันนี้รัสเซียส่งออกน้ำมัน 5-6 ล้านบาร์เรล/วัน ซาอุดิอาระเบีย ก็มีกำลังการผลิตเหลือ และถ้ารวมประเทศที่เหลืออยู่และอิหร่านเข้าไปด้วยก็น่าจะเพียงพอ ทำให้สหรัฐและชาติพันธมิตรยุโรปก็ยังไม่น่ารีบจะคว่ำบาตรรัสเซีย จนกว่าจะตกลงกับโอเปกได้ ทำให้แม้จะมีความเสี่ยงอยู่มาก แต่ไม่ได้เป็นความเสี่ยงที่พอรัสเซียถูกตัดออกไปจนกระทบต่อกำลังการผลิตน้ำมัน เพราะยังมีที่อื่นที่พร้อมที่จะทำ ทำให้อย่างน้อยเราอุ่นใจได้ว่ายังมีน้ำมันที่เหลืออยู่ และน่าจะเป็นหนึ่งในผลกระทบที่คงไม่ส่งผลกระทบรุนแรง หรือทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นไม่หยุด” นายไพบูลย์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม หากภาพเป็นไปอย่างที่กล่าวมา ก็มองว่าราคาน้ำมันจะไม่พุ่งสูงจนเกินไป และจะทำให้นักลงทุนคลายความกังวลลงได้บ้าง และหากอิงกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต Downside risk จากสงครามฯ ครั้งนี้ อาจจะลดลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นเรื่องขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ไม่ได้ขยายวงกว้างออกไป

ทั้งนี้ หากแก้ปัญหาตรงนี้ได้ทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้น ประกอบกับเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน ทำให้มีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้น ก็มองว่าระยะกลางตลาดหุ้นไทย น่าจะปรับตัวขึ้นมาได้และเชื่อว่าปลายปีนี้ ยังเป็นขาขึ้น แนะนำระยะกลาง-ยาว ลงทุนได้ ส่วนที่ว่าควรจะลงทุนอย่างไร ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของนักลงทุน แต่ระยะสั้นแนะนำลงทุนในทองคำและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หรือเงินดอลลาร์ในช่วงที่มีสงครามฯ เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ความปลอดภัยที่สุด

Back to top button