STA-STGT ร่วง! นลท.ขายลดเสี่ยง หลังโบรกคาดกำไร Q1 วูบ-ราคาถุงมือยางถูกลง

STA-STGT กอดคอร่วง! โดนนักลงทุนขายลดเสี่ยง หลังโบรกคาดกำไร Q1/65 หดลง เหตุราคาถุงมือยางปรับลงต่อเนื่อง พร้อมปรับราคาเป้าหมายลงทั้ง STA เหลือ 25 บ. แนะถือ ส่วน STGT เหลือ 14 บ. แนะขาย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (5 พ.ค. 2565) ณ เวลา 12:30 น. ปิดตลาดภาคเช้า พบว่าราคาหุ้นสองแม่ลูกเกี่ยวข้องกับธุรกิจถุงมือยางปรับตัวลงหนัก โดยหุ้นแม่ บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 23.60 บาท ลบไป 1.30 บาท หรือลงไป 5.22% โดยทำจุดสูงสุดที่ 24.70 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 23.30 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 268.33 ล้านบาท

พร้อมด้วยหุ้นลูก บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 22.40 บาท ลบไป 1.60 บาท หรือลงไป 6.67% โดยทำจุดสูงสุดที่ 23.20 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 22.30 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 370.10 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามหากย้อนกลับไปดูราคาหุ้นบนกระดานของ STA ช่วง 1 เดือนปรับตัวลงเกือบ 13% และจากต้นปีจนถึงปัจจุบันราคาหุ้นปรับตัวลงเกือบ 22% ขณะที่ STGT ช่วง 1 เดือนปรับตัวลงเกือบ 14% และจากต้นปีจนถึงปัจจุบันราคาหุ้นปรับตัวลงเกือบ 26% ซึ่งเป็นการอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่องจากแรงเทขายหลังนักวิเคราะห์ประเมินว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2565 ที่ยังเดินหน้าลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าต่อเนื่อง จากราคาถุงมือยางที่ปรับตัวลดลง

สอดคล้องกับ บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คงคำแนะนำ “ถือ” STA แต่ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 25.00 บาท จากเดิม 28.00 บาท อิง PER 8 เท่า โดยคาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 1/2565 จะหดตัวทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า หรืออยู่ที่ 1,275 ล้านบาท (ลดลง 79% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และ 21% จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักมาจากราคาขายถุงมือยางที่ยังคงปรับตัวลงต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ราคาขายถุงมือยางเฉลี่ยในไตรมาส 1/2565 จะลดลงมาอยู่ที่ 0.82 บาท/ชิ้น จาก 1.06 บาท/ชิ้นของไตรมาส 4/2564 ขณะที่ปริมาณขายใกล้เคียงกัน ส่งผลให้ gross margin อยู่ที่ 15.2% ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อนหน้า แต่ในส่วนของธุรกิจขายยางธรรมชาติยังดีต่อจากทั้งปริมาณและราคาขายที่ยังปรับขึ้นต่อเนื่อง

ขณะที่มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2565/2566 ลง 30% และ 15% ตามลำดับ จากราคาถุงมือยางที่ลดลงเร็วกว่าคาด บนสมมติฐาน 1.ราคาขายถุงมือยางเฉลี่ยอยู่ที่ 0.70 และ 0.56 บาท/ชิ้น, 2.gross margin อยู่ที่ 14.7%/14.2%, 3.ปริมาณการขายถุงมือยางอยู่ที่ 37 และ 51 พันล้านชิ้น และ 4.ปริมาณการขายยางธรรมชาติอยู่ที่ 1.6 และ 1.9 ล้านตัน

โดย บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ยังคงคำแนะนำ “ขาย” STGT ปรับเป้าหมายลงเป็น 14.00 บาท จากเดิม 19.50 บาท จากการปรับกำไรสุทธิปี 2565 ลง โดยประเมินกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2565 ลดลงอย่างมากทั้งจากงวดเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน อยู่ที่ 823 ล้านบาท ลดลง 92% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และลดลง 55% จากไตรมาสก่อน จากราคาขายถุงมือยางที่ลดลงต่อเนื่อง หรือคาดว่าราคาขายถุงมือยางเฉลี่ยในไตรมาส 1/2565 จะอยู่ที่ 0.82 บาทต่อชิ้น ลดลง 64% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และลดลง 25% จากไตรมาสก่อน จาก supply ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจากประเทศจีนและมาเลเซีย โดยเฉพาะถุงมือยางกลุ่มไนไตรล์ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีมาร์จิ้นสูง ส่งผลให้ gross margin จะลดลงอย่างมากทั้งจากงวดเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อนอยู่ที่ 22% ในส่วนของปริมาณขายคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน จากกำลังการผลิตเพิ่ม และทรงตัวจากไตรมาสก่อน

ทั้งนี้ปรับกำไรสุทธิปี 2565/2566 ลง 65%, 48% หรืออยู่ที่ 2,724 ล้านบาท ลดลง 89% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และปี 2566 อยู่ที่ 2,488 ล้านบาท ลดลง 9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน สะท้อนราคาถุงมือยางที่ลดลงอย่างรวดเร็ว จากสมมุตฐาน 1.ราคาขายถุงมือยางเฉลี่ยปี 2565/2566 อยู่ที่ 0.70/0.56 บาทต่อชิ้น ลดลงจากปีก่อนที่ 1.74 บาทต่อชิ้น, 2.gross margin อยู่ที่ 20%/18% ลดลงจากปีก่อนที่ 59.4% และ 3.ปริมาณการขายอยู่ที่ 37 และ 50 พันล้านชิ้น ราคาหุ้นปรับตัวลง underperform 5% และ 15% ใน 3 และ 6 เดือนที่ผ่านมา จากแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ลดลงจากไตรมาสก่อน ต่อเนื่องจากราคาขายถุงมือยางลดลง

Back to top button