BFIT พุ่งแรง 13% เก็งควบ SCAP ดันกำไรโตดับเบิล โบรกเตรียมอัพราคาใหม่

 BFIT ราคาหุ้นพุ่งแรง 13% ลุ้นงบปีนี้ทะยานหลังควบ SCAP ในไตรมาส 3/65 ที่ปรึกษาการเงินอิสระ (IFA) คาดกำไร SCAP ปี 65 ร่วม 800 ล้านบาท โต 170% โบรกฯ เตรียมอัพกำไร ราคาเป้าหมาย BFIT ใหม่ ย้ำราคา และ P/E  ณ ปัจจุบันของบีฟิทยังไม่รวมการรับรู้รายได้และกำไรจาก SCAP ที่จะเติบโตแบบดับเบิลนับจากนี้ไป


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (6 พ.ค. 2565) ราคาหุ้น บริษัทเงินทุน ศรีสวัสดิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ BFIT ณ เวลา 10:50 น. อยู่ที่ระดับ 32.75 บาท บวกไป 3.75บาท หรือขึ้นไป 12.93% โดยทำจุดสูงสุดที่ระดับ 34.25 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 27.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 269.14 ล้านบาท

สืบเนื่องจากบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ได้เตรียมขายหุ้นในบริษัท ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล จำกัด หรือ SCAP ให้กับ BFIT แล้วทาง BFIT จะออกหุ้นเพิ่มทุนไปแลกกับ SCAP เพื่อควบรวมกิจการกันระหว่าง BFIT และ SCAP โดยทาง BFIT จะคืนใบอนุญาตประกอบกิจการบริษัทเงินทุน แล้วหันมาลุยสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อส่วนบุคคล

ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า BFIT จะเข้าทำการซื้อ SCAP จากผู้ถือหุ้นเดิมเป็นสัดส่วน 100% ที่มูลค่า 18,000 ล้านบาท โดยมี Forward PER ปี 2565 เท่ากับ 23 เท่า โดย BFIT จะชำระค่าหุ้นให้กับ SCAP ผ่านการออกหุ้นเพิ่มทุนแบบวงจำกัด หรือ Private Placement : PP ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของ SCAP ที่ราคา 24.0 บาทต่อหุ้น เป็นจำนวนทั้งสิ้น 750 ล้านหุ้น ราคาพาร์ที่ 5 บาทต่อหุ้น คิดเป็นจำนวนเงิน 18,000 ล้านบาท

หลังจากการเข้าทำรายการจะทำให้ SAWAD มีสัดส่วนการถือ BFIT จากเดิม 81.64% เป็น 72.05% และพอร์ต BFIT จะหยุดให้บริการสินเชื่อที่มีทะเบียนรถ บ้านและที่ดิน เป็นหลักประกัน โดยจะทำธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อมอเตอร์ไซค์ใหม่ ผ่านบริษัท ศรีสวัสดิ์ ลีซซิ่ง จำกัด (SLS) และบริษัท คาเธ่ย์ ลีซซิ่ง จำกัด (CTL) และสินเชื่อส่วนบุคคลที่รับจาก SCAP โดย BFIT จะต้องขอใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

บล.บัวหลวง ระบุอีกว่า มีรายงานจากที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ Financial Advisor หรือ IFA ได้คาดการณ์กำไรของ SCAP ปี 2565 จะอยู่ที่ 797 ล้านบาท (เติบโต 170%)

“ปัจจุบัน SCAP ในส่วนสินเชื่อเช่าซื้อมอเตอร์ไซค์ใหม่มีอัตราผลตอบแทน 30-40% ต่อปี ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลอยู่ที่ 20-25% ต่อปี มี NPL รวมอยู่ที่ 1% ของสินเชื่อเท่านั้น” บล.บัวหลวง ระบุ

ขณะเดียวกัน นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อยู่ในระหว่างการทำบทวิเคราะห์ของ BFIT หลังจากมีแผนควบรวมกับ SCAP อย่างไรก็ดี ราคา ณ ปัจจุบัน ของบีฟิทนั้น จากข้อมูลในเบื้องต้นยังไม่ได้ตอบรับเชิงบวกจากการควบรวมกับ SCAP

“น่าจะมีการปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้น รวมถึงปรับคาดการณ์กำไรของบีฟิทใหม่ เพราะดูจากแนวโน้มธุรกิจของ SCAP จะมีการเติบโตแบบดับเบิลทุกปีนับจากนี้ไป” นายกรภัทร กล่าว

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เผยว่า BFIT จะซื้อหุ้นทั้งหมดใน SCAP โดยการออกหุ้นใหม่ผ่าน PP ในราคา 24 บาทต่อหุ้น มูลค่าธุรกรรม 1.8 หมื่นล้านบาท และจากการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่ง ทำให้ระดับ PER ของ SCAP จะลดลงเหลือ 22.5 เท่าในปี 2565 จาก 55 เท่าในปี 2564

ทั้งนี้ SCAP มั่นใจว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ 1.15 หมื่นล้านบาทในปีนี้ หลังจากยอดสินเชื่อใหม่ไตรมาส 1/2565 เพิ่มขึ้น 157% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และโต 79% จากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่พลิกมีกำไรสุทธิ 294 ล้านบาทในปี 2564 จากขาดทุนสุทธิ 35 ล้านบาทในปี 2563

ส่วนกำไรของ SCAP ในปี 2565 จะเพิ่มขึ้นเป็น 800 ล้านบาท ซึ่งทาง บล.เมย์แบงก์ ระบุว่า ต้นทุนสินเชื่อของ SCAP อยู่ในระดับต่ำในช่วงต้นปี ดังนั้น ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ จะเป็นในส่วนของพนักงาน ค่าคอมมิชชั่น และการตลาดเพื่อขยายพอร์ตสินเชื่อ

“คาดว่าสินเชื่อของ SCAP จะสูงถึง 1.2 หมื่นล้านบาทในปี 2565 เทียบกับ 5.4 พันล้านบาท ในปี 2564 ซึ่งทาง SCAP จะสามารถทำกำไรได้สูง จากผลตอบแทนเงินกู้ 30-40% สำหรับสินเชื่อรถจักรยานยนต์ใหม่ และ 20-25% สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคล โดยอัตราส่วน NPL ยังคงต่ำที่ 1-2% เท่านั้น” บล.เมย์แบงก์ ระบุ

ขณะที่นางสาวธิดา แก้วบุตตา ผู้อำนวยการกลยุทธ์องค์กร SAWAD เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” ทางข่าวหุ้นทีวีออนไลน์ ว่า ภาพของ BFIT จะเปลี่ยนไปหลังเสร็จสิ้นกระบวนการ ซึ่งก็คือ SCAP ในอนาคต จะเป็น Non-Bank ที่สมบูรณ์แบบ และจะเป็นหนึ่งใน Non-Bank ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการเช่าซื้อเป็นหลัก และปล่อยสินเชื่อบุคคล (Personal Loan) อยู่ภายใต้การควบคุมของ Regulator เช่น หากปล่อยสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน จะเป็นไลเซนส์ของธนาคารแห่งประเทศไทย

“SCAP (หรือ BFIT ใหม่) จะมีการเคลื่อนไหวที่สะดวก กฎระเบียบที่น้อยลง ขณะที่ยีลด์จะสูงขึ้น นอกจากนี้ เชื่อมั่นว่าธุรกิจเช่าซื้อ รวมถึงสินเชื่อส่วนบุคคล เป็นธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ และจะเติบโตแบบก้าวกระโดดต่อไป” นางสาวธิดา กล่าว

สำหรับพอร์ตของ SCAP สิ้นสุดเดือน ธ.ค. 2564 มีพอร์ตลูกหนี้อยู่เกือบ 5 พันล้านบาท คาดว่าปีนี้ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ของกลุ่ม SCAP จะอยู่ประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท และเมื่อกระบวนการเสร็จสิ้น ทาง BFIT ยังพอมีฐานทุน และเงินจำนวนหนึ่งเหลืออยู่ แต่จะรีบศึกษากระบวนการออกหุ้นกู้ แล้วนำเงินมาขยายธุรกิจต่อไป

“นักลงทุนอาจกังวลว่าหลังการรวมธุรกรรม จะชะลอการเติบโตของทั้งกลุ่ม SAWAD และ SCAP หรือไม่นั้น ขอชี้แจงว่าไม่กระทบ เพราะบริษัทจะดำเนินธุรกิจแบบ Aggressive เพราะต้องการให้บริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดด ขณะที่ก่อนหน้านี้ SAWAD ถือ SCAP อยู่ 65% เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการคาดว่าจะถือเพิ่มขึ้นเป็น 72% ส่วนผลกระทบในงบการเงินของบริษัทนั้น มั่นใจว่า SCAP เป็นบริษัทที่กำลังเติบโต ส่วนแบ่งกำไรก็น่าจะมากขึ้นด้วย” นางสาวธิดา กล่าว

อย่างไรก็ดี BFIT จะประกอบธุรกิจคล้ายๆ แบงก์ มีข้อกำหนดในการทำธุรกิจที่ค่อนข้างรัดกุม และแน่นหนา ความยืดหยุ่นในการทำธุรกิจจะน้อยกว่า Non-Bank ทั่วไป ขณะที่การมี SCAP เข้ามา จะทำให้มาร์จิ้นปรับขึ้นสูง ทั้งนี้โดยหลักการทั่วไป จะเป็นธุรกิจที่ให้ยีลด์สูง ความยืดหยุ่นในการทำธุรกิจคล่องตัวมากกว่าด้วยกฎระเบียบที่น้อยลง เมื่อไม่ได้ใช้ใบอนุญาตของเงินทุนในส่วนของการตั้งสำรองก็จะน้อยลง

Back to top button