STA-STGT ไหลต่อ! โบรกหั่นเป้า-กำไร Q1 ชี้ราคาถุงมือยางลด กดรายได้หดตัว

STA กอดคอ STGT ร่วงต่อ โบรกปรับลดคำแนะนำ-ราคาเป้าหมาย รวมถึงปรับลดประมาณกำไรลง เซ่นราคาถุงมือยางลดลงเร็วกว่าคาด


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ เวลา 15:00 น. ราคาหุ้น บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA อยู่ที่ระดับ 21.80 บาท ลบ 1.50 บาท หรือ 6.44% สูงสุดที่ระดับ 23.20 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 21.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 320.33 ล้านบาท

ด้านราคาหุ้น บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT อยู่ที่ระดับ 20.60 บาท ลบ 1.70 บาท หรือ 7.62% สูงสุดที่ระดับ 21.60 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 20.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 362.50 ล้านบาท

บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ คงคำแนะนำ “ถือ” หุ้น STA แต่ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 25.00 บาท จากเดิม 28.00 บาท อิง PER 8 เท่า โดยคาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 1/65 จะหดตัวทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้าอยู่ที่ 1,275 ล้านบาท (-79% จากปีก่อน, -21% จากไตรมาสก่อน) สาเหตุหลักมาจากราคาขายถุงมือยางที่ยังคงปรับตัวลงต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ราคาขายถุงมือยางเฉลี่ยในไตรมาส 1/65 จะลดลงมาอยู่ที่ 0.82 บาท/ชิ้น จาก 1.06 บาท/ชิ้นของไตรมาส 4/64 ขณะที่ปริมาณขายใกล้เคียงกัน ส่งผลให้ gross margin อยู่ที่ 15.2% ลดลงทั้งจากปีก่อนและไตรมาสก่อน แต่ในส่วนของธุรกิจขายยางธรรมชาติยังดีต่อจากทั้งปริมาณและราคาขายที่ยังปรับขึ้นต่อเนื่อง

โดยปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 65/66 ลง 30% และ 15% ตามลำดับ จากราคาถุงมือยางที่ลดลงเร็วกว่าคาด บนสมมติฐาน 1.ราคาขายถุงมือยางเฉลี่ยอยู่ที่ 0.70 และ 0.56 บาท/ชิ้น, 2.gross margin อยู่ที่ 14.7%/14.2%, 3.ปริมาณการขายถุงมือยางอยู่ที่ 37 และ 51 พันล้านชิ้น, 4.ปริมาณการขายยางธรรมชาติอยู่ที่ 1.6 และ 1.9 ล้านตัน

ด้านราคาหุ้นปรับตัวลดลง -3% และ -19% ในช่วง 1 และ 3 เดือนที่ผ่านมา จากแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/65 ที่ยังเดินหน้าลดลงจากไตรมาสก่อนอย่างต่อเนื่อง จากราคาถุงมือยางที่ปรับตัวลดลง และยังไม่เห็นแนวโน้มการฟื้นตัว จึงยังคงแนะนำ “ถือ” จากมองว่าในปี 66 ราคาขายถุงมือยางมีโอกาสปรับตัวลดลงในอัตราที่ช้าลง และธุรกิจยางธรรมชาติยังเติบโตได้ต่อเนื่อง ทำให้ผลการดำเนินงานในปี 66 มีโอกาสกลับมาเติบโตได้จากปีก่อน ปัจจุบัน STA เทรดอยู่ที่ PER 7 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมยางในอดีตที่ประมาณ 8 เท่า

ส่วน STGT ยังคงคำแนะนำ “ขาย” ปรับเป้าหมายลงเป็น 14.00 บาท จากเดิม 19.50 บาท จากการปรับกำไรสุทธิปี 65 ลง โดยประเมินกำไรสุทธิในไตรมาส 1/65 ลดลงอย่างมากทั้งจากปีก่อนและไตรมาสก่อนอยู่ที่ 823 ล้านบาท (-92% จากปีก่อน, -55% จากไตรมาสก่อน) จากราคาขายถุงมือยางที่ลดลงต่อเนื่อง หรือคาดว่าราคาขายถุงมือยางเฉลี่ยในไตรมาส 1/65 จะอยู่ที่ 0.82 บาทต่อชิ้น (-64% จากปีก่อน, -25% จากไตรมาสก่อน) จาก supply ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจากประเทศจีนและมาเลเซีย

โดยเฉพาะถุงมือยางกลุ่มไนไตรล์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีมาร์จิ้นสูง ส่งผลให้ gross margin จะลดลงอย่างมากทั้งจากปีก่อนและไตรมาสก่อนอยู่ที่ 22% ในส่วนของปริมาณขายคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนจากกำลังการผลิตเพิ่ม และทรงตัวจากไตรมาสก่อน

พร้อมกันนี้ปรับกำไรสุทธิปี 65/66 ลง 65%, 48% หรืออยู่ที่ 2,724 ล้านบาท (-89% จากปีก่อน) และ 2,488 (-9% จากปีก่อน) สะท้อนราคาถุงมือยางที่ลดลงอย่างรวดเร็ว จากสมมุติฐาน 1.ราคาขายถุงมือยางเฉลี่ยปี 65/66 อยู่ที่ 0.70/0.56 บาทต่อชิ้น ลดลงจากปีก่อนที่ 1.74 บาทต่อชิ้น 2.gross margin อยู่ที่ 20%/18% ลดลงจากปีก่อนที่ 59.4% และ 3.ปริมาณการขายอยู่ที่ 37 และ 50 พันล้านชิ้น ราคาหุ้นปรับตัวลง underperform -5% และ -15% ใน 3 และ 6 เดือนที่ผ่านมา จากแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ลดลงจากไตรมาสก่อน ต่อเนื่องจากราคาขายถุงมือยางลดลง

โดยยังคงแนะนำ “ขาย” จากราคาจากแนวโน้มราคาถุงมือยางที่มีโอกาสปรับตัวลงได้ต่อ จาก supply ที่เพิ่มขึ้นมาก และ demand ที่จะลดลงจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ลดลง โดยเชื่อว่าหลังจากประกาศงบไตรมาส 1/65 กำไรสุทธิ และราคาเป้าหมายจาก consensus จะมีการปรับลงเพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานที่อ่อนแอ

Back to top button