SICT พุ่งกระฉูด 12% รับงบไตรมาส 1 กำไร “นิวไฮ” แตะ 30 ลบ.

SICT พุ่งกระฉูด 12% รับงบไตรมาส 1 กำไร “นิวไฮ” แตะ 30 ลบ. โดย ณ เวลา 16.23 น. ราคาอยู่ที่ระดับ 5.90 บาท 0.65 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(13พ.ค.2565) ราคาหุ้น บริษัท ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SICT ณ เวลา 16.23 น. อยู่ที่ระดับ 5.90 บาท 0.65 บาท หรือ 12.38% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 63.76 ล้านบาท

โดย SICT ผู้ออกแบบและจำหน่ายไมโครชิพอัจฉริยะสัญชาติไทย ที่ได้รับความไว้วางใจจากหลากหลายประเทศทั่วโลก รายงานผลประกอบการสำหรับไตรมาส 1 ปี 2565 กำไรสุทธิของบริษัททำ New High อีกครั้ง โดยมีจำนวน 30.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2564 เป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้รวมที่ดีเกินความคาดหมายจากความต้องการสินค้าในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ รวมถึงการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง การสร้างความร่วมมือที่เข้มแข็งกับผู้ผลิตและการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีของบริษัท

สำหรับรายได้รวมในไตรมาสที่ 1 นี้เป็น All-time High เช่นกัน โดยมีจำนวน 139.60 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จากความต้องการสินค้าไมโครชิพที่เพิ่มขึ้นมากอย่างต่อเนื่อง และการจัดการสินค้าคงคลังที่ดี แม้ว่าสถานการณ์การขาดแคลนวัตถุดิบไมโครชิพและกำลังการผลิต (Supply Shortage) จะยังคงเป็นปัญหาสำคัญทั้งของบริษัทและทั่วโลก

ทั้งนี้รายได้จากกลุ่มระบบเข้า-ออกสถานที่และระบบการอ่านข้อมูล (Access Control & Reader group) ในไตรมาสที่ 1 นี้เติบโตเป็นจำนวนสูงที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเติบโตคิดเป็น 47% ในขณะที่กลุ่มระบบลงทะเบียนสัตว์ (Animal ID) และกลุ่มระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ (Immobilizer) เติบโตโดดเด่นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมีอัตราการเติบโตคิดเป็น 68% และ 74% ตามลำดับ

โดยในช่วงไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา บริษัทได้มีการนำสินค้าในกลุ่ม Immobilizer รุ่นใหม่ออกสู่ตลาด โดยสินค้าดังกล่าวเป็นระบบสำรองกุญแจยานยนต์แบบ All-in-one ที่สามารถรองรับรุ่นรถในตลาดได้ครอบคลุมถึง 99% ซึ่งบริษัทคาดว่าสินค้าตัวใหม่นี้จะสามารถขยายสัดส่วนทางการตลาดในกลุ่ม Immobilizer ของบริษัทได้มากขึ้น และจะเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนการเติบโตรายได้ของบริษัทในภาพรวมได้ดีในปีนี้

ส่วนของปัจจัยท้าทายยังคงเป็นเรื่องสถานการณ์การขาดแคลนวัตถุดิบไมโครชิพและกำลังการผลิตในตลาด (Supply Shortage) ซึ่งคาดว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อออกไปอีกจนถึงต้นปี 2566 อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงดำเนินแผนงานรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างรอบคอบต่อเนื่อง ในส่วนของสถานการณ์ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งหลายฝ่ายคาดการณ์ถึงผลกระทบในแง่การขาดแคลนพลังงานและวัตถุดิบในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์นั้น ณ ปัจจุบัน ในส่วนของบริษัทเอง ยังไม่ได้รับรายงานจากคู่ค้าถึงผลกระทบที่มีนัยสำคัญแต่อย่างใด แต่ได้มีการเตรียมแผนการรองรับแล้ว หากมีผลกระทบทางอ้อมจากราคาวัตถุดิบและค่าบริการในการจัดส่งผลิตภัณฑ์

Back to top button