KKP ตั้งเป้าสินเชื่อรวมปี 59 โต 5-7% ลดพอร์ตสินเชื่อรถต่ำกว่า 50% ใน 3 ปี

KKP ตั้งเป้าสินเชื่อรวมปี 59 โต 5-7% จากสมมุติฐานอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปีหน้าที่ระดับ 3.5% ตั้งเป้าลดพอร์ตสินเชื่อรถต่ำกว่า 50% ใน 3 ปี


นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธนาคารเกียรตินาคินจำกัด (มหาชน) หรือ KKP เปิดเผยว่า ธนาคารได้ตั้งเป้าหมายการขยายตัวของสินเชื่อรวมในปี 59 ที่ระดับ 5-7%  จากสมมุติฐานอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปีหน้าที่ระดับ 3.5% โดยสินเชื่อมีโอกาสที่จะกลับมาขยายตัวอีกครั้ง หลังเริ่มเห็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในปีนี้ รวมไปถึงแผนการเร่งเดินหน้าลงทุนในโครงการขนาดใหญ่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจในประเทศให้เติบโตขึ้น

อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยกังวลเกี่ยวกับความไม่ชัดเจนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังกดดันอยู่ เพราะหากเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวดีอาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและความเชื่อมันในประเทศได้ด้วย แม้ว่าในปัจจุบันรัฐบาลจะพยายามผลักดันโครงการต่างๆเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นให้กลับมาแข็งแกร่งก็ตาม

อย่างไรก็ดี หากภาครัฐมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานออกมาก็คาดว่าสินเชื่อบรรษัทขนาดใหญ่จะมีการเติบโตที่ดีตามไปด้วย อีกทั้งการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ Lombard Loan หรือสินเชื่อหมุนเวียนอเนกประสงค์ที่เสนอให้กับกลุ่มลูกค้า Wealth Management จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สินเชื่อในปีหน้ามีการขยายตัวขึ้น

ขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ยังไม่มีการเติบโตมากนัก เนื่องจากมองว่าตลาดอาจจะยังไม่ฟื้นตัวกลับมาดีขึ้นอย่างชัดเจน อีกทั้งธนาคารพยายามกระจายสัดส่วนพอร์ตสินเชื่อแต่ละประเภท เพื่อกระจายความเสี่ยงออกไป ซึ่งในส่วนของสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์นั้นวางแผนที่จะลดสัดส่วนพอร์ตให้เหลือต่ำกว่า 50% ภายใน 3 ปี จากปัจจุบันมีสัดส่วนพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์อยู่ที่ 67%

ทั้งนี้ ธนาคารตั้งเป้าการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้การให้คำปรึกษาการลงทุน (AUA) ของทั้งกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทรในปี 59 ที่ระดับ  20-30% จากปีนี้ที่คาดระดับ 6 แสนล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ใหม่ที่เน้นในส่วนของ Wealth Management มากขึ้นหลังจากมีการควบรวบกิจการ ซึ่งการให้บริการในด้าน Wealth Management ให้ผลตอบแทนแก่ธนาคารที่ดีกว่าการปล่อยสินเชื่อ

อีกทั้งตลาดของลูกค้ากลุ่มนี้ในประเทศไทยยังมีโอกาสในการขยายตัวได้อีกมากในอนาคต เนื่องจากจำนวนลูกค้าในปัจจุบันยังมีไม่มาก และประชาชนในประเทศเริ่มหันมาให้ความสนใจในการบริหารจัดการเงินฝากให้เกิดผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากขึ้นกว่าการฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ ส่งผลให้ตลาดในกลุ่มดังกล่าวยังสามารถเติบโตได้ไนอนาคต

โดยหลังจากที่มีการควบรวมกิจการกับบมจ.ทุนภัทร มาอยู่ภายใต้กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (กลุ่มเกียรตินาคินภัทร) และได้ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของกลุ่มใหม่แล้วนั้น ส่งผลให้สัดส่วนรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-Interest Income) ของกลุ่มเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 40% ในปัจจุบัน จากก่อนควบรวมกิจการที่มีสัดส่วนรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยอยู่ต่ำกว่า 10%

Back to top button