SCGP ดีดบวก 4% ปักธงรายได้ปีนี้แตะ 1.6 แสนล้าน รับดีมานด์สินค้าบรรจุภัณฑ์พุ่ง

SCGP ดีดบวก 4% ปักธงรายได้ปีนี้แตะ 1.6 แสนล้าน รับดีมานด์สินค้าบรรจุภัณฑ์พุ่ง ตั้งงบลงทุนปีนี้ 1.8 หมื่นล้าน เน้นนวัตกรรม-โซลูชันบรรจุภัณฑ์ครบวงจร พร้อมเร่งปิดดีลควบกิจการ Q1


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้( 2 มี.ค.66) ราคาหุ้นบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ณ เวลา 11:49 น. อยู่ที่ระดับ 53.75 บาท บวก 2.00 บาท หรือ 3.86% ด้วยมูลค่าซื้อ 557.26 ล้านบาท

โดยก่อนหน้านี้นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  SCGP เปิดเผยว่า บริษัทวางเป้ารายได้ปีนี้ไว้ที่ 1.6 แสนล้านบาท เติบโตต่อเนื่องจากปี 2565 ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 1.46 แสนล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 5,801 ล้านบาท เนื่องจากปัจจัยหนุนจากความต้องการสินค้าบรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้นหลังจีนเปิดประเทศและการท่องเที่ยวฟื้นตัว ขณะที่ในไตรมาส 1/2566 พบว่าต้นทุนเศษกระดาษลดลง ค่าเฟรทลดลง ราคาพลังงานทรงตัว จึงมองว่ายังเป็นสัญญาณที่ดี มั่นใจว่าผลประกอบการจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

สำหรับงบลงทุนปี 2566 บริษัทตั้งไว้ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท จากงบลงทุน 5 ปี (ปี 2564-2568) ที่เคยตั้งไว้ที่ 1 แสนล้านบาท โดยในปีนี้ จะเน้นลงทุนธุรกิจศักยภาพสูง เพิ่มนวัตกรรมและโซลูชันบรรจุภัณฑ์ครบวงจร รับเศรษฐกิจฟื้น รวมทั้งการเพิ่มกำลังการผลิตของโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหลายโครงการทั้งในและต่างประเทศ ขณะเดียวกันในปีนี้ บริษัทจะเร่งปิดดีล M&P อย่างต่อเนื่อง ทั้งดีลที่คุยในปีก่อนก็จะมีความชัดเจนในปีนี้ คาดว่าไตรมาส 1/2566 หรือต้นไตรมาสที่ 2/2566 จะสามารถปิดดีลควบรวมกิจการกับพันธมิตร หรือ  M&P ได้อย่างน้อย 1 ดีล

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทมีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.60 บาท โดยบริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลงวดระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2565 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 0.35 บาท ในวันที่ 24 เมษายน 2566 ตามรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 5 เมษายน 2566 โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 4 เมษายน 2566

ขณะเดียวกันการเติบโตในปีนี้ของ SCGP มาจาก 5 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.การสร้างการเติบโตจากการควบรวมกิจการกับพันธมิตร (M&P) และการขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และมองโอกาสขยายสู่ธุรกิจอื่น ๆ ที่มีศักยภาพสูง มุ่งเน้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ และผสานความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างบริษัทย่อย (Synergy), 2.การพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง และร่วมมือกับลูกค้าในการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มคุณค่าและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ด้วยงบประมาณและค่าใช้จ่ายเพื่อการวิจัยและพัฒนา 800 ล้านบาท,

3.การยกระดับประสิทธิภาพในการดำเนินงานของทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain integration) การดำเนินงานเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศ (Operational excellence) ด้วยการนำระบบอัตโนมัติ (Automation) มาใช้ในการวิเคราะห์ คาดการณ์ และเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตและผลิตผล และการใช้ Data Analytics เพื่อสร้างความแข็งแกร่งด้านข้อมูลตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน (End-to-End), 4.การวางแผนบริหารจัดการเชิงรุกเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอน การวางแผนบริหารความเสี่ยงในช่วงที่ภาวะดอกเบี้ยยังเป็นขาขึ้น การบริหารจัดการเงินสด และงบประมาณการลงทุน (CAPEX) อีกทั้งยังมีการกระจายฐานลูกค้าหลากหลายประเทศและกลุ่มอุตสาหกรรม การมองหาตลาดใหม่ในแถบตะวันออกกลาง เอเชียใต้ และแอฟริกาใต้ และ 5.ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยแนวคิด ESG 4 Plus โดยมีเป้าหมายและแผนปฏิบัติการที่ชัดเจนที่จะเพิ่มสัดส่วนบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสามารถรีไซเคิลหรือย่อยสลายได้ 100% จากปริมาณบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตทั้งหมดในปี 2568 พร้อมทั้งการดำเนินงานตามแผนงานเพื่อที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593

นายวิชาญ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานปี 2565 บริษัทมีรายได้จากการขาย 146,068 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 124,223 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 5,801 ล้านบาท ลดลง 30% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 8,294 ล้านบาท โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้น มาจากการ M&P การรับรู้รายได้เต็มปีจากการรวมผลประกอบการของบริษัทที่ M&P ได้แก่ Duy Tan, Intan Group และ Deltalab การรับรู้รายได้บางส่วนจาก Peute และ Jordan และการปรับราคาสินค้าให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนกำไรลดลง จากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น รวมถึงการลดลงของปริมาณการขายและอุปสงค์กระดาษบรรจุภัณฑ์ทั่วโลกจากสถานการณ์เศรษฐกิจ และในภูมิภาคจากการล็อกดาวน์ของประเทศจีน

ขณะที่ไตรมาสที่ 4/2565 SCGP มีรายได้จากการขาย 33,509 ล้านบาท ลดลง 5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 35,145 ล้านบาท และลดลง 12% จากไตรมาสก่อน ขณะที่กำไรสุทธิ 450 ล้านบาท ลดลง 79% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และลดลง 76% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากความต้องการและราคาขายบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคปรับตัวลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซียและประเทศเวียดนาม อย่างไรก็ตาม ความต้องการสินค้าในกลุ่มบรรจุภัณฑ์เพื่อการอุปโภคบริโภคของประเทศในภูมิภาคอาเซียน ทั้งบรรจุภัณฑ์กระดาษและบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ เช่น บรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ยังเติบโตจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการทยอยเปิดประเทศ

อย่างไรก็ตาม SCGP ได้กำหนดแผนเงินลงทุนไว้ 1 แสนล้านบาท ภายใน 5 ปี (2564-2568) เพื่อบรรลุเป้าหมายรายได้ 2 แสนล้านบาทในปี 2568 โดยในปี 2564-2565 SCGP ใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 3.7 หมื่นล้านบาท ในการลงทุนและขยายกำลังการผลิตในธุรกิจที่มีศักยภาพและมีโอกาสเติบโต ทำให้ SCGP สามารถสร้างรายได้และผลตอบแทนที่สูงท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย สะท้อนถึงโมเดลธุรกิจและทิศทางการดำเนินธุรกิจของ SCGP ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสม และสามารถสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งให้ SCGP ได้อย่างชัดเจน

Back to top button