DELTA ปิดเช้า “ออลไทม์ไฮ” หลังแตะ 1,004 บ. เก็งผลงานปีนี้โตต่อ-เทรดพาร์ใหม่เม.ย.นี้

DELTA ปิดเช้า “ออลไทม์ไฮ” หลังแตะ 1,004 บ. เก็งผลงานปีนี้โตต่อ-เทรดพาร์ใหม่เม.ย.นี้ ฟาก“บล.เคจีไอฯ”เตือนอัพไซด์จำกัด-ราคาหุ้นค่อนข้างแพง แนะนำ "ขาย"


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (2 มี.ค.66) ราคาหุ้น บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ปิดตลาดภาคเช้าอยู่ที่ระดับ 992.00 บาท บวก 6.00 บาท หรือ 0.61% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.11 พันล้านบาท โดยระหว่างวันราคาหุ้นขึ้นไปทดสอบสูงสุดที่ระดับ 1,004 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 970 บาท ก่อนจะมาปิดที่ระดับ 992 บาท ทำจุดสูงสุดตั้งแต่เข้าตลาดฯเมื่อ24 ก.ค.2538

โดยก่อนหน้านี้นายแจ็คกี้ จาง ประธาน บริษัท เดลต้า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA เปิดเผยว่า ปี 2566 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตประมาณ 10-20% จากปีก่อน ที่ตามปกติบริษัทจะตั้งเป้าการเติบโตเป็น Double Digit ทุกปีอยู่แล้ว ซึ่งสถานการณ์ในปีนี้ค่อนข้างมีความไม่แน่นอนในสภาวะเศรษฐกิจ และตลาดวัตถุดิบ โดยช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทธุรกิจหลักที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในอัตราที่แข็งแกร่งในระดับประมาณ 20-30% ต่อเนื่อง และปีที่ผ่านมาบริษัทได้แรงหนุนจากธุรกิจ EV และแนวโน้ม Smart Solution ที่มีการขยายตัวมากขึ้น จึงทำให้มีโอกาสในการเพิ่มยอดขายให้บริษัท

ส่วนแผนการลงทุนในปีนี้มีการขยับเพิ่มเป็น 180-200 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจและกำลังการผลิตครอบคลุมทั้งในประเทศไทย อินเดีย และยุโรป ที่ล่าสุดมีการตั้งบริษัทย่อยที่ฮังการี เพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ในยุโรปที่คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ไม่เกินปี 2569 ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการลงทุน รวมถึงการขยายกำลังการผลิตในไทยที่เป็นการลงทุนมาต่อเนื่อง ตามแผนจะเปิดโรงงานแห่งใหม่ (โรงงานที่ 8) ภายในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค. 2566 และอินเดียที่คาดว่าเปิดให้บริการโรงงานอีก 2 แห่งในช่วงปลายปีนี้

ด้านผลงานงวดสิ้นปี 65 ว่ามีกำไรสุทธิ 15,344.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ  6,699 ล้านบาท  ซึ่งงวดนี้  DELTA มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 118,558  ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.6 และร้อยละ 87.6  จากปี 2564 และปี 2563 ตามลำดับ เป็น

ส่วนเรื่องการแตกพาร์จาก 1 บาท เหลือ 0.10 บาท ต้องขึ้นอยู่กับการประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นวันที่ 7 เม.ย. 66 หากได้รับการอนุมัติจากมติของผู้ถือหุ้น บริษัทจะมีการแจ้งกับกระทรวงพาณิชย์ คาดว่าจะใช้เวลา 14 วันทำการ หลังจากนั้นจะดำเนินการแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอาจต้องมีการประกาศอีกประมาณ 3 วันทำการถึงจะเริ่มมีผลบังคับใช้ หากเป็นไปตามแผนคาดไม่เกินเดือน เม.ย.นี้

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่า คาดกำไรไตรมาสแรกปีนี้จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน แต่จะลดลงเมื่อเทียบไตรมาสก่อน แม้โมเมนตัมยอดขายของ DELTA จะมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในไตรมาสแรกปีนี้ แต่อัตรากำไรขั้นต้นน่าจะถูกกดดันจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น และการบริหารจัดการวัตถุดิบ

ขณะกำไรมี upside จำกัด เพราะผู้บริหารของ DELTA ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของยอดขายปี 2566 ไว้ที่ 10-20% โดยจะมาจากยอดขายของกลุ่มยานยนต์ และ data center ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่ขอเลื่อนคำสั่งซื้อจากลูกค้า และคาดว่าคำสั่งซื้อจะแข็งแกร่งในระยะต่อไป โดยบริษัทยังคงเดินหน้าขยายกำลังการผลิต โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 20% จากปี 2565

ขณะเดียวกัน บริษัทตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นปี 2566 เอาไว้ที่ 23-24% และตั้งเป้าจะจัดหาวัตถุดิบ 60% จากแหล่งภายในประเทศ ซึ่งจะทำให้การดำเนินงานของ DELTA ดำเนินไปอย่างราบรื่น และ คาดว่าจะคุมค่าใช้จ่าย SG&A ได้โดยจะรักษาสัดส่วน SG&A ต่อ ยอดขายเอาไว้ใกล้กับปี 2565 (11.6%) ทั้งนี้ เนื่องจากเป้าหมายส่วนใหญ่ของบริษัทใกล้เคียงกับสมมติฐานของเรา

ดังนั้น จึงมองว่าประมาณการกำไรของปีนี้มี upside จำกัด  ดังนั้น  จึงยังคงราคาเป้าหมาย สิ้นปี 2566 เอาไว้ที่ 590.0 บาท อิงจาก PER เท่าเดิมที่ 45.0X (ค่า เฉลี่ยในอดีต +0.5 S.D.)  เนื่องจากประมาณการกำไรปี 2566 ของ บล.เคจีไอฯ มี upside จำกัด และราคาหุ้นค่อนข้างแพงแล้ว ดังนั้น จึงยังคงคำแนะนำ “ขาย”

Back to top button