BANPU บวกต่อ 3% แย้มรายได้ปีนี้โตต่อ วางเป้ายอดขายถ่านหินทะลุ 42 ล้านตัน

BANPU บวกต่อ 3% แย้มรายได้ปีนี้โตต่อ วางเป้ายอดขายถ่านหินทะลุ 42 ล้านตัน จ่อปิดดีลโรงไฟฟ้าก๊าซสหรัฐฯ 2 โรง รวม 1,600 เมกะวัตต์ คาดชัดเจนต้นไตรมาส 2 ปีนี้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (22 มี.ค.66) ราคาหุ้น บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU ล่าสุด ณ เวลา 15:06 น. อยู่ที่ระดับ 10.80 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 2.86% สูงสุดที่ระดับ 10.90 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 10.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 573.39 ล้านบาท

โดยก่อนหน้านี้ นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BANPU เปิดเผยว่า ในปี 2566 บริษัทวางเป้ายอดขายถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยคาดว่าปริมาณการขายถ่านหินจะเพิ่มเป็น 42 ล้านตัน แบ่งเป็น ปริมาณขายถ่านหินจากเหมืองอินโดนีเซีย 22.5 ล้านตัน ออสเตรเลีย 8.8 ล้านตัน และจีนอีกประมาณ 10 ล้านตัน เทียบกับปี 2565 ที่มีปริมาณการขายรวมอยู่ที่ 40.5 ล้านตัน ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติ คาดว่ายอดขายจะใกล้เคียงกับปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 800-900 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หรือประมาณ 280 พันล้านลูกบาศก์ฟุต

ขณะที่ ธุรกิจไฟฟ้าคาดว่าในปี 2566 จะมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาได้ประมาณ 800-1,000 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 4,200 เมกะวัตต์ ซึ่งทางบริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP อยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อเข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ เพิ่มเติม จำนวน 2 โครงการ กำลังการผลิตรวม 1,600 เมกะวัตต์ หลังจากก่อนหน้านี้ได้เข้าลงทุนในโรงไฟฟ้า Temple I ขนาด 800 เมกะวัตต์ไปแล้ว ซึ่งโครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษาขนาดกำลังการผลิตใกล้เคียงกัน คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในต้นไตรมาส 2 ปีนี้

สำหรับแนวโน้มรายได้ปี 2566 คาดว่าจะรับผลดีจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากธุรกิจถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ แต่ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเติบโตเท่าไร เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีรายได้จากการขายรวม 7,693 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 272,270 ล้านบาท เนื่องจากขึ้นอยู่กับราคาขายถ่านหินและก๊าซฯ โดยปี 2565 ราคาขายถ่านหินเฉลี่ย 168 เหรียญสหรัฐต่อตัน และราคาขายก๊าซฯ เฉลี่ย 5.5 เหรียญสหรัฐต่อพันลูกบาศก์ฟุต

นอกจากนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนสำหรับปี 2566 ใกล้เคียงกับปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 900 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมทั้งวางกลยุทธ์ทางธุรกิจในปี 2566-2568 โดยบริษัทยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตตามกลยุทธ์ Greener & Smarter วางแนวทางสำคัญสำหรับ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ดังนี้

  1. กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน ทั้งธุรกิจเหมืองและธุรกิจก๊าซธรรมชาติ คงความเป็นผู้นำในการผลิตก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ แสวงหาโอกาสใหม่ ๆ ในธุรกิจที่ส่งเสริมและต่อยอดธุรกิจที่มีอยู่
  2. กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน เพิ่มมูลค่าและรักษาประสิทธิภาพการผลิตในโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ให้สามารถสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคง และ
  3. กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน สร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดในพอร์ตธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูงและมีศักยภาพในการสร้างกระแสเงินสด ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่ส่งเสริมศักยภาพและการเติบโตซึ่งกันและกัน ตลอดจนแสวงหาการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ (New S-Curve)

Back to top button