OSP บวก 5% รับกำไร Q1 แตะ 778 ล้าน ดีกว่าตลาดคาด โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 32 บ.

OSP บวกต่อ 5% ขานรับกำไรไตรมาส 1/66 แตะ 778 ล้านบาท ดีกว่าตลาดคาด! พร้อมบล.ดาโอ ประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 2,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงปีก่อน แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 32 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (11 พ.ค.66) ราคาหุ้น บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ล่าสุด ณ เวลา 14:45 น. อยู่ที่ระดับ 31.50 บาท บวก 1.50 บาท หรือ 5.00% สูงสุดที่ระดับ 31.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 30.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 361.37 ล้านบาท

สำหรับราคาหุ้น OSP ปรับตัวขึ้นสะท้อนต่อผลการดำเนินงานไตรมาส 1/66 ออกมาเติบโตแกร่ง โดยบริษัทฯ รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 อยู่ที่ 778 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 750 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 131% จากไตรมาสก่อนหน้า ใกล้เคียงนักวิเคราะห์คาด แต่สูงกว่าตลาดคาด +14% จากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) และปันผลจาก Unicharm ที่สูงกว่าคาด กำไรขยายตัวเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน จาก 1) รายได้รวมปรับตัวลดลง 12% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ซึ่งจากรายได้ domestic beverage (ลดลง 24% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน) แต่มีรายได้ต่างประเทศที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนช่วยชดเชย,

2) GPM ขยายตัวจากงวดเดียวของปีก่อน ซึ่งจาก efficiency ที่ปรับตัวดีขึ้น, 3) SG&A expenses ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก FX loss และ 4) รับรู้ dividend income จาก Unicharm ที่ 300 ล้านบาท (โดยในปี 65 รับรู้ในไตรมาส 2/65 ที่ 28 ล้านบาท) ด้านกำไรขยายตัวจากไตรมาสก่อน จากรายได้ที่ขยายตัว, GPM ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จาก volume การผลิตที่ขยายตัว และรับรู้ dividend จาก Unicharm

ทั้งนี้ บล.ดาโอ ระบุว่า สำหรับกำไรไตรมาส 1/66 มีสัดส่วนเป็น 32% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 66 เนื่องจากรับรู้ปันผลจาก Unicharm ในไตรมาส 1 ดังนั้น คงประมาณกำไรสุทธิปี 66 อยู่ที่ 2,457 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน จาก 1) รายได้รวมขยายตัวเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ซึ่งจากรายได้ domestic beverageและรายได้ต่างประเทศขยายตัว,

2) GPM ขยายตัวจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง, volume การผลิตที่เพิ่มขึ้น และแนวโน้มราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวลดลง อีกทั้ง OSP ได้มีการปิดซ่อมบารุงโรงงานผลิตขวดแก้ว 1 แห่งในไทยตามแผนเพื่อลดต้นทุนในครึ่งแรกของปี 66 (กำลังการผลิต 10-15% ของกำลังการผลิตทั้งหมด)

สำหรับปี 67 ประเมินกำไรสุทธิที่ 3,116 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน จากรายได้และ GPM ขยายตัว

ดังนั้นคงราคาเป้าหมายที่ 32.00 บาท อิง PER 39.0 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยตั้งแต่เข้าเทรดในตลาด เพื่อสะท้อนผลประกอบการที่ฟื้นตัวเร็วกว่าคาด และยังมี upside จาก M&A ซึ่งจะได้ข้อสรุปในปีนี้

Back to top button