SCGP ดีดบวก 2% ส่งซิก Q2 แจ่ม ดีมานด์พุ่ง-ต้นทุนพลังงานลด

SCGP ดีดบวก 2% ส่งซิกไตรมาส 2/66 สดใส หลังดีมานด์ตลาดอาเซียนและจีนขาขึ้น ขณะที่ราคาต้นทุนพลังงาน-ค่าขนส่ง-วัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลขาลงโบรกแนะซื้อเป้า 49 บาทอัพไซด์ 16%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้( 26 พ.ค.66) ราคาหุ้นบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ณ เวลา 11:29 น. อยู่ที่ระดับ 40.25 บาท บวก 0.75 บาท หรือ 1.90% ด้วยมูลค่าซื้อ 264.26 ล้านบาท

ด้านนายดนัยเดช เกตุสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน SCGP เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจในไตรมาส 2/2566 คาดจะยังรับผลดีจากความต้องการใช้สินค้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียนและจีน ที่ดีมานด์สินค้าในตลาดเติบโตขึ้น แม้ว่าการส่งออกจะอ่อนตัวลงในกลุ่มสินค้าคงทน มาจากกำลังซื้อจากสหรัฐฯ และยุโรปชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสนี้ ต้นทุนพลังงาน ค่าขนส่ง และวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลปรับตัวลดลง ซึ่งบริษัทจะพยายามผลักดันวอลุ่มและราคาขายในช่วงครึ่งปีหลังนี้

ขณะเดียวกัน ภายหลังจากจีนเปิดประเทศ พบว่าปริมาณการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ส่งผลให้ยอดส่งออกจากโรงงานของบริษัท ทั้งที่เวียดนามและอินโดนีเซียไปยังจีนดีขึ้น ทำให้ปริมาณการขายปรับตัวดีขึ้นทั้งสองส่วน และในด้านราคาเริ่มมีโอกาสในการปรับขึ้น ดังนั้นมองว่าภาพรวมในไตรมาส 2/2566 ดีมานด์สินค้าเติบโตขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2566

สำหรับเป้าหมายรายได้ปี 2566 บริษัทตั้งไว้ที่ระดับ 1.6 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีรายได้รวม 1.47 แสนล้านบาท ซึ่งปัจจัยผลักดันการเติบโตจะมาจากสามส่วนหลัก ๆ โดยส่วนแรก คือการเติบโตของรายได้จากธุรกิจที่มีอยู่ มองเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของวอลุ่มตั้งแต่ไตรมาส 1/2566 ที่เริ่มดีขึ้น และคาดว่าไตรมาสต่อ ๆ ไปดีมานด์จะดีขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป มาช่วยผลักดันรายได้

ส่วนที่สอง คือ การรับรู้รายได้จากดีลการควบรวมกิจการกับพันธมิตรชั้นนำศักยภาพสูง (M&P) ที่บริษัทเข้าไปลงทุนเมื่อปีก่อน จะสามารถรับรู้รายได้เต็มปีในปี 2566 ได้แก่ Peute, Jordan และบริษัท ไซเบอร์พริ้นท์กรุ๊ป จำกัด เข้ามามีส่วนเพิ่มอีกประมาณ 5,000 ล้านบาท และส่วนที่สาม คือ ดีล M&P ใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่มในปี 2566 หลังจากปิดดีลได้สำเร็จก็จะเป็นรายได้เข้ามาเสริม อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางปี 2566 บริษัทจะทบทวนเป้าหมายรายได้อีกครั้งว่าจะเป็นอย่างไร

ด้านผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2566 SCGP มีรายได้จากการขาย 33,729 ล้านบาท ลดลง 8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาสก่อน โดยมีกำไรสุทธิ 1,220 ล้านบาท ลดลง 26% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 171% จากไตรมาสก่อน มาจากความต้องการกลุ่มบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศแถบอาเซียนและจีนที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และบรรจุภัณฑ์อาหารที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นหลังจากประชาชนคลายความกังวลต่อสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ SCGP ที่ขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจร โดยเฉพาะการมุ่งเน้นขยายการลงทุนในธุรกิจบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ตลอดจนการปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับผลกระทบจากเศรษฐกิจและตลาดบรรจุภัณฑ์

บล.เมย์แบงก์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มไตรมาส 2/66 และครึ่งหลังปี 66 จะฟื้นตัวดีขึ้นต่อ จากสถานการณ์เศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียนมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ ด้านมาร์จิ้นคาดจะดีขึ้นเล็กน้อย จากต้นทุนวัตถุดิบ กระดาษรีซเคิล ได้ปรับลดลงกลับสู่ระดับปกติและมีแนวโน้มทรงตัวส่วนร่าคาพลังงานและค่าระวางเรือขนส่งมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการบริหารจัดการต้นทุน

โดยคาดอัตรากำไรขั้นต้นปี 66 จะเพิ่มขึ้นเป็น 16.9% จาก 16.6% ในปี 65 คงประมาณการปี 66 คาดยอดขาย 157,404 ล้านบาท เติบโต 8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ มีกำไรปกติ 6,596 ล้านบาท เติบโต 14% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน แนะนำ “ซื้อ” SCGP ราคาเป้าหมาย 49.00 บาท หรือคิดเป็นอัพไซด์ 16%เทียบราคาหุ้นล่าสุด  

Back to top button