LEO วิ่งต่อ 2% ลุ้นกำไรไตรมาส 2 โต อัดงบลงทุนปีนี้ 800 ล้าน ขยายธุรกิจ-ดีล M&A

LEO มั่นใจผลงานไตรมาส 2 โต บุ๊กรายได้ขนส่งสินค้าทางราง-การจัดหาและขายผลไม้ไปยังจีน ด้านงบลงทุนปีนี้ 800 ล้านบาท ใช้ขยายธุรกิจ แย้มดีล M&A อีก 4-5 โครงการ คาดทยอยลงทุนในปีนี้ถึงต้นปีหน้า


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (1 มิ.ย.66) ราคาหุ้น บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO ณ เวลา 10:29 น. อยู่ที่ระดับ 6.25 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 1.63% สูงสุดที่ระดับ 6.35 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 6.20 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.70 ล้านบาท

ด้าน นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LEO กล่าวว่า ปีนี้บริษัทมั่นใจจะผลักดันผลประกอบการเติบโตตั้งแต่ไตรมาส 2-4 ได้  โดยเชื่อว่าอัตราค่าระวางและตัวเลขการนำเข้าและส่งออกของประเทศไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงไตรมาส 1/2566 ที่ผ่านมา และเริ่มเห็นการปรับตัวขึ้นของค่าระวาง และการเติบโตของตัวเลขการส่งออกอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปลายเดือนเมษายน

“ในช่วงไตรมาส 1/2566 บริษัทได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลดลงของอัตราค่าขนส่งทั้งทางเรือและทางอากาศ สภาวะเศรษฐกิจที่ชะงักงันของการส่งออกและนำเข้าทั่วโลก ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย ยูเครน และสภาวะเงินเฟ้อทั่วโลกจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงเป็นอย่างมาก” นายเกตติวิทย์ กล่าว

ขณะเดียวกัน บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากการขนส่งสินค้าทางราง และการจัดหาและขายสินค้าผลไม้ไปยังประเทศจีนผ่านบริษัท ลีโอ ซอร์สซิ่ง แอนด์ ซัพพลายเชน จำกัด  (LSSC) รวมถึงรับรู้รายได้ และกำไรจากโครงการร่วมทุน (JV) และซื้อกิจการ (M&A) ใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2566 นับตั้งแต่ไตรมาส 2-3 เป็นต้นไป เพื่อสร้างการเติบโตทางรายได้และผลประกอบการของธุรกิจให้แข็งแกร่งต่อเนื่อง

สำหรับบริษัท อภิศศิโฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนของพันธมิตรในประเทศจีน เข้ามาถือหุ้นในบริษัท Leo Sourcing & Supply Chain (LSSC) ในสัดส่วน 40% เพื่อผนึกกำลังและร่วมกันในการพัฒนาธุรกิจของทาง LSSC ในการจัดหาสินค้าประเภทผลไม้และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของไทย เพื่อส่งออกไปยังประเทศจีนให้มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด อีกทั้งพันธมิตรในประเทศจีนได้ทยอยแนะนำบริษัทผู้นำเข้าสินค้าประเภททุเรียน และมังคุดจากจีนมาให้ทาง LEO และมีการเซ็นสัญญาสั่งซื้อไปแล้วมูลค่ามากกว่า 50 ล้านบาท และยังจะมีลูกค้ารายอื่น ๆ ทยอยเข้ามาเจรจาและสั่งสินค้าอย่างต่อเนื่อง

รวมถึงคาดจะมีการรับรู้รายได้และกำไรจากโครงการ JV กับบริษัท เบาไทย อินเด็กซ์ แอสโซซิเอท จำกัด และบริษัท ศรีตรังโลจิสติกส์ จำกัด ที่เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของทางการรถไฟจีนในการทำการตลาดการขนส่งทางรางไทย-จีน ภายใต้ บริษัท LaneXang Express Company Limited นับตั้งแต่ไตรมาส 2 และไตรมาส 3 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ บริษัทยังได้เซ็นสัญญาเพื่อให้บริการและพัฒนาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ (Strategic Cooperation) ในการให้เช่าตู้สินค้าควบคุมอุณหภูมิ (Reefer Container) พร้อมด้วยอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้า (Clip-on Genset) สำหรับส่งสินค้าประเภทผลไม้สดไปยังประเทศจีน โดยสัญญามีระยะเวลาครอบคลุมการบริการต่อเนื่อง 3 ปี

ด้านโครงการ Intelligent Cold Chain Logistics Center @ Sahathai Terminal เป็นคลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิ ใช้ระบบ Automation & Robot ซึ่งเป็นระบบอัจฉริยะ เข้ามาช่วยตอบโจทย์ในเรื่องของการลดต้นทุน เรื่องการหาบุคลากรในระดับแรงงาน มูลค่าการลงทุนรวม 232 ล้านบาท ประกอบด้วยค่าเช่าทรัพย์สินตลอดอายุสัญญารวม 72 ล้านบาท และเงินลงทุนในการพัฒนาโครงการจำนวน 160 ล้านบาท คาดว่าจะสร้างรายได้อย่างน้อย 800 ล้านบาท ตลอดระยะเวลาของโครงการ ซึ่งจะมีการแถลงข่าวเปิดตัวในวันที่ 7 มิ.ย.นี้

สำหรับโครงการ Self Storage (LSS) ถนนพระราม 4 พื้นที่ประมาณ 2,000 ตารางเมตร ได้มีการเซ็นสัญญาเช่าเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการปรับปรุง แต่มีความล่าช้า คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/2566 และจะสามารถรับรู้รายได้ในไตรมาส 1/2567 อย่างไรก็ตาม จากการปรับปรุงโครงสร้างให้มีความแข็งแรง จึงไปเจรจาต่อรองจากเดิมที่ให้เช่า 21 ปี เป็น 25 ปี ก็จะทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) เพิ่มขึ้น จากระยะเวลาที่มากขึ้น แม้จะล่าช้าไป 3 เดือน แต่ได้ระยะเวลาเช่าเพิ่มอีก 4 ปี

ขณะที่เงินลงทุนในปีนี้ มีใช้ในโครงการ Self Storage ถนนพระราม 4 รวมถึงการเจรจา M&A อีกประมาณ 4-5 โครงการ ซึ่งน่าจะทยอยลงทุนในปีนี้ถึงต้นปีหน้า อีกทั้งจะมีการลงทุนกับบริษัท สหไทย เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) หรือ PORT อีกกว่า 200 ล้านบาท ดังนั้นในปีนี้น่าจะใช้งบลงทุนรวมประมาณ 800 ล้านบาท

Back to top button