กกร.ห่วงขึ้นค่าแรง 450 บาท ดันเงินเฟ้อเพิ่ม 0.82%

กกร. ประเมิน GDP ปีนี้โต 3-3.5% ขณะเดียวกันที่ประชุมฯ ยังคงมีความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง และกังวลหากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาทต่อวัน อาจทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นถึง 0.82%


นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประฐานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า กกร.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง คาดว่าจะขยายตัวได้ 3-3.5% จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการจ้างงาน นอกจากนี้ รายได้ภาคเกษตร และเกษตรอุตสาหกรรมยังขยายตัว ทำให้ในภาพรวมผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นที่ดีขึ้น มีการใช้จ่ายและการบริโภคมากขึ้น

อย่างไรก็ดี ภาคอุตสาหกรรมและการส่งออก ยังได้รับผลกระทบจากการฟื้นตัวที่ล่าช้าของเศรษฐกิจ ทำให้คาดว่าการส่งออกของไทยปีนี้จะหดตัวอยู่ในช่วง -1 ถึง 0% ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังอาจได้รับแรงกดดันจากด้านเงินเฟ้อเพิ่มเติม จากปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่จะส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร และราคาสินค้าในระยะข้างหน้า รวมถึงหากมีการปรับขึ้นค่าแรงในอนาคต โดยคาดว่าปีนี้ อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 2.7-3.2%

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่องจากการท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 4 เดือนแรกเข้ามาสูงกว่า 8 ล้านคน และทั้งปีมีศักยภาพที่จะมากถึง 30 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากการฟื้นตัวที่ล่าช้าของเศรษฐกิจโลก คาดว่าการส่งออกในปี 2566 จะหดตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ส่วนเงินเฟ้อยังคงเป็นปัจจัยท้าทาย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าจะยังปรับขึ้นต่อไปด้วยเหตุว่าเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยยังอาจได้รับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มเติมจากการเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญที่จะส่งผลกระทบต่อผลผลิตเกษตรและราคาสินค้าในระยะข้างหน้า รวมถึงหากมีการปรับขึ้นค่าแรงในอนาคต

ขณะเดียวกันที่ประชุม กกร.มีความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในหมวดอาหารที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัดส่วนค่าครองชีพของผู้บริโภคที่สูงขึ้นกว่าในอดีต และอาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากปัญหาภัยแล้ง นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อยังมีปัจจัยกดดันที่อาจอยู่สูงต่อเนื่องจากการส่งผ่านราคาของผู้ประกอบการจากภาระต้นทุนที่อยู่ในระดับสูง และมีปัจจัยที่อาจกระทบต่อเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า ได้แก่

 ส่วนแนวโน้มค่าแรงขั้นต่ำที่อาจเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า หากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาทต่อวัน อาจทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นถึง 0.82% ถ้าไม่มีการเพิ่มทักษะแรงงานและผลิตภาพแรงงานให้เหมาะสมไปพร้อมกับการปรับเปลี่ยน และยังมีปัจจัยด้านราคาน้ำมันดีเซลที่อาจเพิ่มสูงขึ้น หากมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลิตรละ 5 บาท สิ้นสุดลงในวันที่ 20 ก.ค. 2566 ซึ่งเป็นต้นทุนค่าขนส่งของผู้ประกอบการ ปัจจัยเหล่านี้จะกดดันต้นทุนของทั้งผู้ประกอบการและครัวเรือน

Back to top button