
MALEE เด้งแรง 24% รับข่าวผลิต “เนสกาแฟ” โบรกฯ ชี้กำไรปี 68-69 โตเฉลี่ย 21%
MALEE บวกแรง 24% รับกระแสข่าวผลิต “เนสกาแฟ” ในประเทศไทย ฟาก โบรกฯ มองกำไรปี 68-69 เติบโตเฉลี่ย 21% เน้นสินค้าแบรนด์ และ OEM พร้อมบุกตลาดต่างประเทศ คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 11.10 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (7 พ.ค.68) ราคาหุ้น บริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE ณ เวลา 11:02 น. อยู่ที่ระดับ 8.40 บาท บวก 1.60 บาท หรือ 23.53% สูงสุดที่ระดับ 8.40 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 7.05 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 62.07 ล้านบาท
โดย ราคาหุ้น MALEE ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง ภายหลังมีการเผยแพร่ภาพผลิตภัณฑ์เนสกาแฟกระป๋องภายใต้แบรนด์เนสท์เล่ ซึ่งวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อบนฉลากผลิตภัณฑ์มีการระบุชื่อผู้ผลิต คือ บมจ. มาลีกรุ๊ป
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 9 เม.ย. บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ “เนสกาแฟ” ถูก ศาลแพ่งมีนบุรี ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้ามดำเนินการผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปภายใต้เครื่องหมายการค้า Nescafé ในประเทศไทย
คำสั่งดังกล่าวเกิดขึ้นจากข้อพิพาทระหว่างเนสท์เล่และ นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ หนึ่งในผู้ถือหุ้น บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักส์ จำกัด (QCP) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างเนสท์เล่และตระกูลมหากิจศิริ โดยถือหุ้นฝ่ายละ 50% ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงแนวทางการดำเนินงานในอนาคตร่วมกันได้
ด้าน เนสท์เล่ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งมีนบุรีเพื่อขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อขอศาลเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เนื่องจากมีผู้ได้รับผลกระทบจำนวนมาก ทั้งเกษตรกร ซัพพลายเออร์ โรงงานผลิตสินค้าอื่นที่เกี่ยวเนื่อง เช่น กระป๋อง บรรจุภัณฑ์อื่นๆ ในวันที่ 11 เมษายน 2568 ขณะที่ทนายฝ่ายโจทย์ได้ยื่นคัดค้านศาลจึงนัดไต่สวนฉุกเฉินในวันที่ 17 เมษายน 2568 เวลา 9:00 น. เพื่อพิจารณาว่าจะเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 12 เม.ย.68 “เนสท์เล่” ลงนามโดย นางสาวเครือวัลย์ วรุณไพจิตร ผู้อำนวยการบริหารหน่วยธุรกิจ เนสท์เล่ โพรเฟชชันนัล ประเทศไทย ส่งหนังสือไปยังพันธมิตรทางการค้า เพื่อแจ้งความคืบหน้าล่าสุดถึงสถานการณ์ของธุรกิจเนสกาแฟ โดยระบุว่า
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งชี้ขาดให้ “เนสท์เล่” เป็นผู้ถือสิทธิ์เครื่องหมายการค้า “Nescafe” และ “เนสกาแฟ” แต่เพียงผู้เดียวในประเทศ ทำให้ “เนสท์เล่” สามารถกลับมาจำหน่ายเนสกาแฟ ได้ตามปกติ
โดยล่าสุด บล.กรุงศรี ระบุถึงกรณีราคาหุ้น MALEE ปรับตัวขึ้นแรง 18% หลังมีข่าวจากหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการได้รับรับคำสั่งซื้อ (OEM) ให้ผลิตเนสกาแฟให้กับบริษัทเนสท์เล่ในปลายไตรมาส 1/68
ทั้งนี้ รายการ OEM ดังกล่าวเป็น 1 ใน 2 รายใหม่ที่รวมอยู่ในประมาณการของฝ่ายนักวิเคราะห์แล้ว ซึ่งยังคงมุมมองเชิงบวกต่อ MALEE จากการเติบโตของยอดส่งออกและ OEM รวมถึงแนวโน้มต้นทุนที่ลดลง อย่างไรก็ตามฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์กำไรไตรมาส 1/68 จะปรับตัวลดลงจากปีก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
ขณะที่ คาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/68 ลดลงจากปีก่อนหน้า แต่ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน สำหรับทั้งปี 68 ประเมินว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิราว 359 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อนหน้า โดยคาดการณ์ว่ากำไรจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในลักษณะ Step-up ทุกไตรมาส
ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปี 68 อยู่ที่ 11.10 บาท โดยอิงค่าอัตราส่วนราคาต่อกำไร (PER) ที่ 17 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม
นอกจากนี้ แนวโน้มปี 68 MALEE มองทั้งรายได้และกำไรเติบโตเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนจากปี 67 เน้นทั้งสินค้าแบรนด์ และ OEM โดยสินค้าแบรนด์ จะบุกตลาดต่างประเทศจริงจังในกลุ่มประเทศที่บริษัทเปิดตลาดไว้แล้วอย่างประเทศจีน และเกาหลี
โดย MALEE เป็นผู้ส่งออกสินค้าแบรนด์น้ำมะพร้าวจากไทยไปจีนเป็นอันดับ 9 และเกาหลีเป็นอันดับ 1 ด้วยการวาง Position เป็นสินค้า Premium mass ภายใต้จุดขายคือความเป็นสินค้าจากประเทศไทย ปัจจุบันอยู่ระหว่างการคัดเลือก Distributor สำหรับงาน OEM ยังตามแผน โดยลูกค้าใหม่ 2 รายใหญ่ จะเข้าในไตรมาส 2/68-3/68 และจะขึ้นเป็น Top5 ของงาน OEM ซึ่งมองบวกต่องาน OEM จะช่วยสร้างการเติบโต และอีกทางหนึ่งช่วย Balance ผลประกอบการในช่วงที่บริษัทบุกสินค้าแบรนด์ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายสร้างแบรนด์ช่วงแรก
ขณะที่ แนวทางการเติบโตระยะยาวในปี 68-69 คงมุมมองกำไรเติบโตเฉลี่ยราว 21% (CAGR) โดยการเติบโตจากไตรมาสก่อนหน้าปี 68 จะอยู่ในรูปแบบ Step-up คือแนวโน้ม จะเติบโตจากไตรมาสก่อนหน้าไปเรื่อยๆ