
AOT เด้ง 2% รับข่าวเร่งเปิดประมูลคาร์โก้ราย 2 สัญญา 20 ปี มูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท
AOT ราคาเด้ง 2.36% เร่งเปิดประมูลโครงการคาร์โก้ สุวรรณภูมิ รายที่ 2 มูลค่า 15,253 ล้านบาท “สุริยะ” มั่นใจกระบวนการแล้วเสร็จภายใน 6 เดือน ลงนามสัญญารายใหม่ไม่เกินมี.ค. 69 ล่าสุดพบแนวโน้มปริมาณสินค้าสนามบินสุวรรณภูมิเพิ่มสูง ขึ้นต่อเนื่อง ประเมินปี 70 ทะลุ 1.67 ล้านตัน เอกชนรายใหม่รับรายได้ตลอดอายุโครงการ 20 ปี กว่า 42,205 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (11 มิ.ย. 68) ราคาหุ้น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ณ เวลา 10:29 น. อยู่ที่ระดับ 32.50 บาท บวก 0.75 บาท หรือ 2.36% สูงสุดที่ระดับ 33.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 32.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 279.09 ล้านบาท
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (10 มิ.ย. 2568) มีมติอนุมัติให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ดำเนินการเปิดคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการรัฐ (PPP) เพื่อให้สิทธิประกอบกิจการการให้บริการคลังสินค้า (คาร์โก้) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 เพื่อทดแทนเอกชนสัญญาเดิมที่จะครบกำหนดในเดือนตุลาคม 2569
สำหรับขั้นตอนจากนี้ AOT จะเร่งดำเนินการตามขั้นตอน PPP คือ ตั้งคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 (พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ) กำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือก และเปิดให้เอกชนยื่นข้อเสนอ กระบวนการทั้งหมดดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 5-6 เดือนจากนี้ และเสนอผลการคัดเลือกต่อที่ประชุมครม. โดยคาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญาได้ประมาณเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2569
ปัจจุบัน AOT ได้ให้สิทธิประกอบกิจการการให้บริการคาร์โก้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิแก่ผู้ประกอบการ 2 ราย คือ 1. บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI (รายที่ 1) หมดสัญญาปี 2583 และ 2. บริษัท ดับบลิวเอฟเอสพีจีคาร์โก้ จำกัด (รายที่ 2) ซึ่งตามมาตรา 49 พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ กำหนดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำแนวทางการดำเนินโครงการก่อนที่สัญญาจะสิ้นสุดลงอย่างน้อย 5 ปี ต่อมา ครม.มีมติเห็นชอบให้มีผู้ประกอบการรายที่ 3 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการคัดเลือกเอกชน โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการปี 2571
อย่างไรก็ตามปัจจุบันปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยผู้ประกอบการทั้ง 2 ราย สามารถรองรับสินค้าได้ 1.75 ล้านตันต่อปี และเมื่อมีผู้ประกอบการรายที่ 3 แล้วจะสามารถรองรับเพิ่มเป็น 2.28 ล้านตันต่อปี แต่จากการคาดการณ์ปริมาณสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิพบว่า ในปี 2570 จะมีปริมาณสินค้า 1.67 ล้านตัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ดังนั้นหากผู้ประกอบการรายที่ 2 หมดสัญญาในปี 2569 แล้วยังไม่สามารถพิจารณาให้สิทธิประกอบกิจการแก่ผู้ประกอบการรายที่ 2 รายใหม่ได้ จะทำให้เหลือเพียง THAI เพียงรายเดียว ที่ให้บริการคลังสินค้าซึ่งจะไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องพิจารณาเปิดการคัดเลือกเอกชนตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ดังกล่าว ก่อนที่อายุสัญญาของผู้ประกอบการรายที่ 2 จะสิ้นสุดลงอย่างน้อย 5 ปี
สำหรับโครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 มีมูลค่าโครงการ 15,253 ล้านบาท (ประเมินจากผลรวมของค่าผลประโยชน์ตอบแทน, ค่าเช่าพื้นที่, ค่าลงทุนสิ่งปลูกสร้าง และค่าลงทุนอุปกรณ์และระบบ) ระยะเวลาดำเนินโครงการ 20 ปี นับจากวันส่งมอบพื้นที่
โดยรูปแบบการลงทุนจะเป็น PPP ประเภท Net Cost (เอกชนแบ่งรายได้-ผลประโยชน์แก่รัฐ) โดยเอกชนมีหน้าที่จัดหาเงินทุนเพื่อลงทุนสิ่งปลูกสร้าง อุปกรณ์ และระบบ รวมทั้งดำเนินงานและบำรุงรักษาโครงการฯ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 ส่วนภาครัฐมีหน้าที่จัดหาที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการและกำกับดูแลและติดตามตรวจสอบคุณภาพ การดำเนินงานโครงการฯ ของผู้ประกอบการรายที่ 2
ทั้งนี้เอกชนจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรายได้ของโครงการ และเป็นผู้รับความเสี่ยงทางด้านรายได้โดยตรง โดยจะต้องจ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ภาครัฐเป็นรายปีตามเงื่อนไขที่กำหนด ได้กำหนดให้เอกชนจ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนโดยเปรียบเทียบกันระหว่างค่าส่วนแบ่งรายได้ 10% ของรายได้ต่อเดือน และค่าตอบแทนขั้นต่ำในจำนวนที่แน่นอน (เอกชนจะเป็นผู้เสนอในขั้นตอนการคัดเลือกเอกชน) เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ให้เอกชนจ่ายให้ภาครัฐในรายการที่มีมูลค่าสูงกว่า
สำหรับประมาณการรายได้โครงการ ทางเอกชนจะมีรายได้ตลอดอายุโครงการ 20 ปี ประมาณ 42,205.17 ล้านบาท, ประมาณการค่าใช้จ่ายโครงการ พบว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 อยู่ที่ 34,161.76 ล้านบาท คือ ค่าลงทุนสิ่งปลูกสร้าง อุปกรณ์ และระบบ 1,120 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและบำรุงรักษา 33,041.76 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ครม.มีมติเห็นชอบให้มีผู้ประกอบการรายที่ 3 ปัจจุบันอยู่ระหว่างกระบวนการคัดเลือกเอกชนโดยคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2571 ดังนั้น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะมีผู้ประกอบการ 3 ราย รวมปริมาณสินค้าที่รองรับได้รวม 2.28 ล้านตัน/ปี
รายงานข้อมูลจาก LSEG CONSENSUS ประมาณการรายได้รวมปี 2568 ที่ 70,058 ล้านบาท ประมาณการกำไรสุทธิ Q3/2568 (สิ้นสุดเดือนมิ.ย. 2568) ที่ 3,953 ล้านบาท ทั้งปีกำไรสุทธิ (สิ้นสุดเดือน ก.ย. 2568) 20,377 ล้านบาท ราคาเป้าหมาย 47.75 บาท จาก 19 โบรกเกอร์