“รวมไทยสร้างชาติ” เมื่อศรัทธามวลชน…ถูกแลกด้วยดีลการเมือง?

จากวันนั้นที่ศรัทธาปักแน่น จากพลังบริสุทธิ์ของประชาชนที่พร้อมใจรวมเป็นหนึ่ง แต่ ณ วันนี้ "รวมไทยสร้างชาติ" กำลังเผชิญคำถามสำคัญ เมื่อมีกระแสข่าวดีลการเมืองเข้ามาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อการเมืองไทย ศรัทธามวลชนยังคงเดิม?


เป็นอีกครั้งที่พรรคการเมืองทำเอาประชาชนที่เฝ้าติดตามสถานการณ์การเมืองต้อง “อ้าปากค้าง” และ “เกาหัวแกรกๆ” โดยเฉพาะแฟนคลับผู้จงรักภักดีของ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่ดูเหมือนจะถูกทดสอบความศรัทธาอย่างหนักหน่วงในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จากกระแส “ฮึ่มฮั่ม” จะไปไม่ไป จากปมคลิปเสียง จนมาถึงภาพ “จับไม้จับมือ” กับนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันอย่างที่ทุกคนได้เห็น

เรื่องราวเริ่มต้นจากการประชุมพรรคที่หลายคนคาดหวังว่าจะเป็น “จุดชี้ชะตา” บ้างก็ลือกันให้แซ่ดว่า รทสช. จะแสดง “อุดมการณ์” อันแน่วแน่ หรืออย่างน้อยก็ขอ “ถอนตัวอย่างมีศักดิ์ศรี” แต่ท้ายที่สุด วันประชุมใหญ่ก็จบลงด้วยความเงียบงันชนิดที่เรียกว่า “ป่าราบ” หัวหน้าพรรคเลือกที่จะไม่แถลงมติใดๆ ต่อสาธารณะชน บอกเพียงว่าจะนำเรื่องไป “หารือเป็นการส่วนตัว” กับนายกรัฐมนตรี ทิ้งให้นักข่าวที่รอทำข่าวต้องกลับบ้านมือเปล่า และปล่อยให้แฟนคลับต้องเก็บความสงสัยผสมความหงุดหงิดไว้ในใจ

หลังจากนั้นเพียงวันเดียว กระแส “ความกดดัน” ก็ถูกโหมโรงขึ้นมาอีกครั้งอย่างชนิดที่ว่า “เร่งเครื่องเต็มสูบ” เมื่อมีบุคคลสำคัญภายในพรรคบางท่านออกมาแสดงท่าที “แข็งกร้าว” ราวกับว่าพรรคกำลังจะใช้ “ไม้แข็ง” กับรัฐบาล บ้างก็พูดถึงการ “ยื่นคำขาด” หรือ “กดดัน” นายกรัฐมนตรี ชนิดที่สร้างความหวังให้แก่ผู้สนับสนุนว่า รทสช. กำลังจะแสดง “จุดยืนที่แตกต่าง” หรืออย่างน้อยก็กำลังพยายาม “ต่อรอง” เพื่ออะไรบางอย่าง การเคลื่อนไหวนี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามรักษากระแสมวลชนและสร้างภาพลักษณ์ที่ดู “มีหลักการ” ท่ามกลางความปั่นป่วนทางการเมือง

แต่แล้ว ความคาดหวังเหล่านั้นก็ “พังครืน” ลงอย่างรวดเร็ว เมื่อภาพถ่ายจาก “โรสวูด” ปรากฏสู่สาธารณะ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค รทสช. ยืนยิ้มเคียงข้าง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลคนอื่นๆ ภาพนี้เป็นอัน “สิ้นสุดข้อสงสัยทั้งมวล” การหารือที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้นำไปสู่การถอนตัว หรือการเปลี่ยนแปลงขั้วการเมืองใดๆ อย่างที่แฟนคลับบางส่วนอาจ “หลงคิดไปไกล”

ช่วงค่ำของวันเดียวกัน โฆษกพรรค รทสช. ได้ออกมาชี้แจงประเด็นสำคัญที่ทำให้หลายคนถึงกับต้อง “ตบเข่าฉาด” นั่นคือ “ถ้ามติพรรคไม่ได้ออกจากปากหัวหน้าพรรค ถือว่าเชื่อไม่ได้” คำกล่าวนี้เป็นการตอกย้ำว่า การแสดงความเห็นหรือท่าทีใดๆ ที่ออกมาจากบุคคลอื่นในพรรคก่อนหน้านั้น “ไม่ถือเป็นมติพรรคที่แท้จริง” และย่อมไม่มีผลผูกพัน หรือสะท้อนถึงเจตจำนงของพรรคทั้งหมด

การชี้แจงนี้ทำให้เกิดคำถามตัวโตๆ ว่า การกระทำของแกนนำบางท่านที่ออกมา “สร้างกระแส” ก่อนหน้านี้ มีจุดประสงค์อะไรกันแน่? เป็นเพียงการ “ออกหน้า” แทนหัวหน้าพรรคเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง? หรือเป็นความเข้าใจผิดภายในที่อาจทำให้บุคคลเหล่านั้นต้อง “รับผิดชอบ” ต่อคำพูดของตัวเองในสายตาประชาชน?

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด สิ่งที่เกิดขึ้นได้ทิ้ง “ฟุตปริ้นดิจิทัล” เอาไว้ และทำให้ประชาชนที่ติดตามข่าวสารรู้สึกเหมือนถูก “เล่นเกมการเมือง” ที่คำพูดจากคนหนึ่งไม่สามารถเป็นเครื่องยืนยันอะไรได้เลย จนกว่า “คำตอบสุดท้าย” จะมาจากปากของผู้มีอำนาจสูงสุดในพรรค (ซึ่งก็เพิ่งบอกว่าถ้าไม่ใช่ปากหัวหน้าพรรค ก็เชื่อไม่ได้…แล้วเมื่อไหร่หัวหน้าพรรคจะพูด?)

สถานการณ์เหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อ “กระแสศรัทธา” ที่มวลชนมีต่อพรรค รทสช. อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อภาพลักษณ์ของพรรคดูเหมือนจะขาดความชัดเจน และการสื่อสารที่ออกมาดูเหมือนจะเป็นคนละทิศละทางกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง อาจทำให้ผู้สนับสนุนที่เคยเทใจให้เกิดความ “ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

อนาคตของ รทสช. ในทางการเมืองยังคงเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ พรรคต้องเผชิญกับความท้าทายในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและศรัทธาจากประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกลุ่มผู้สนับสนุนที่เคยยืนหยัดเคียงข้างมาโดยตลอด การรักษาสัมพันธภาพกับพรรคร่วมรัฐบาลเป็นสิ่งสำคัญ แต่การรักษาสัญญาและความชัดเจนในการสื่อสารกับประชาชนก็สำคัญไม่แพ้กัน

 

 

 

Back to top button