
KTC ลดช่วงลบเหลือ 9% คาดกองทุนเข้าเก็บ มั่นใจพื้นฐานแกร่ง-กำไรโต
ราคาหุ้น KTC วันนี้ลดช่วงลบเหลือ 9% คาดกองทุนเข้าซื้อ ชี้พื้นฐานดี-มั่นใจเป้ากำไร ขณะที่วันนี้พบบิ๊กล็อต 1 รายการ จำนวน 30 ล้านหุ้น มูลค่า 540 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 18 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (25 มิ.ย.68) บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ณ เวลา 10:25 น. อยู่ที่ระดับ 22.80 บาท ลบ 2.20 บาท หรือ 8.80% สูงสุดที่ระดับ 24.30 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 21.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 9.54 พันล้านบาท
โดยราคาหุ้น KTC ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง แม้แรงขายเริ่มชะลอตัวลงเล็กน้อย หลังจากที่ราคาหุ้นได้ปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดของวัน (ราคาฟลอร์) ติดต่อกัน 2 วันทำการช่วงวันที่ 23-24 มิ.ย. 68 ที่ผ่านมา
สาเหตุที่กดดันราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมา มีรายงานกระแสข่าวว่า อาจเกิดจากการถูกบังคับขายหลักทรัพย์ (Force Sell) ของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ หลังราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จนเข้าเงื่อนไขตามที่บริษัทหลักทรัพย์กำหนด
ขณะนี้วันนี้ ปรากฏว่ามีการถอดคำสั่งขาย (Offer) ออกจากระบบเป็นจำนวนมาก จากเดิมที่ค้างอยู่จำนวนมากของเมื่อวานนี้ ส่งผลให้แรงขายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกันเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามา ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงเพียงประมาณ 9%
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลการซื้อขายหลักทรัพย์ พบว่าในวันนี้หุ้น KTC มีรายการซื้อขายแบบบิ๊กล็อต (Big Lot) จำนวน 1 รายการ คิดเป็นปริมาณ 30 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 540 ล้านบาท ที่ราคาเฉลี่ย 18 บาทต่อหุ้น โดยมีมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) เท่ากับ 1 บาท
ขณะที่แหล่งข่าวจากกองทุนรวม กล่าวว่า สถานการณ์หุ้น KTC ปรับตัวลงแรงต่อเนื่อง มองเป็นจังหวะเหมาะในการเข้าไปลงทุนเพิ่ม ด้วยปัจจัยพื้นฐานดีมีความแข็งแกร่งในหลายด้าน ขณะที่ทางผู้บริหาร KTC ได้ออกมาแสดงวิสัยทัศน์ถึงเป้าหมายผลักดันธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่อง รวมถึงผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ KTC ยังมีความแข็งแกร่งกว่าคู่เทียบในตลาด
ดังนั้น การปรับตัวลงของราคาหุ้น KTC ไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐานของตัวธุรกิจ จึงเป็นจังหวะเข้าลงทุนเพิ่มสำหรับกลุ่มกองทุนต่าง ๆ ส่วนการรับมือความตื่นตระหนกของผู้ถือหุ้นนั้น คงต้องเน้นย้ำถึงเป้าหมายธุรกิจและความแข็งแกร่งของธุรกิจให้นักลงทุนทราบอย่างต่อเนื่อง ส่วน KTC จะมีแผนซื้อหุ้นคืนหรือไม่ คงต้องขึ้นอยู่กับแนวทางของบริษัทฯ เป็นหลัก
โดยในวันนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะกลับมาใช้เกณฑ์ซิลลิ่ง และฟลอร์ ที่ระดับ +/- 30% ตามปกติ ซึ่งหากหุ้น KTC ปรับลงมาที่ฟลอร์ หรือ -30% จะทำให้ราคาหุ้นลงมาอยู๋ที่ 17.50 บาท มีระดับ พีอี เรโช 6.02 เท่า อัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ยต่อปี 6.85% และ P/BV เหลือเพียง 1.08 เท่า
“หากวันนี้ KTC ลงมีฟลอร์อีก น่าจะเห็นแรงซื้อกลับของนักลงทุนสถาบันที่ถือหุ้นใน KTC อยู่ รวมถึงกองทุนต่าง ๆ ที่มองเห็นถึงโอกาสด้วย เพราะตัวเลขสำคัญทางการเงินลงมาในระดับน่าสนใจมาก ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการของ KTC ยังเติบโตได้แข็งแกร่งและที่สำคัญมีแบงก์กรุงไทย (KTB) ถือหุ้นใหญ่อยู่อย่างเหนียวแน่น” แหล่งข่าว กล่าว
ด้าน นางสาวอภิศมา ณ สงขลา ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายบริหารเงินและนักลงทุนสัมพันธ์ (Treasury & Investor Relations Division) ของ KTC กล่าวว่า ราคาหุ้นเคทีซีปรับตัวลงแรงไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ เนื่องจากผลประกอบการโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดีมาก และควบคุมได้ และมั่นใจว่าผลประกอบการทั้งปี 68 ยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย โดยเฉพาะการที่บริษัทยังรักษาคุณภาพสินทรัพย์ คุณภาพหนี้ (NPL) ที่ยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องไม่เกิน 2%
ส่วนผลการดำเนินงานรวมของบริษัทฯ ช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา แม้เติบโตไม่หวือหวา แต่ยังเติบโตกว่าตลาดค่อนข้างสูง
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานปีนี้ยังคงเป้าหมายเติบโตตามแผน โดยเฉพาะผลกำไรที่บริษัทฯ มั่นใจว่าปี 68 เติบโตกว่าช่วงปี 67
“เรายังมั่นใจในพื้นฐานและแผนการดำเนินงานของบริษัท แม้ราคาหุ้นจะผันผวนจากกระแสในโซเชียลมีเดียและภาวะตลาด ซึ่งขอย้ำว่าราคาหุ้นที่ลดลงไม่ได้มีปัจจัยเชิงลบจากผลประกอบการ” นางสาวอภิศมา กล่าว
นอกจากนี้ เคทีซีจะประกาศงบฯในวันที่ 18 ส.ค.นี้ ซึ่งเบื้องต้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง (ผลประกอบการ) ที่น่าตกใจ (shock) ต่อตลาด
อย่างไรก็ดี การที่ราคาหุ้นปรับลดลง มีนักลงทุนได้โทรเข้ามาสอบถามเป็นจำนวนมากถึงสาเหตุ และจากการตรวจสอบพบว่ามีการกล่าวถึงหุ้น KTC ว่าเกิดการฟอร์ซเซล หรือ ถูกบังคับขายหุ้น ซึ่งเป็นกรณีที่มีผู้ที่นำหุ้นของ KTC ไปวางค้ำประกันไว้ และเมื่อราคาหุ้นในตลาดโดยรวมปรับตัวลดลงทำให้ราคาหุ้นเคทีซีปรับลงหนัก
นางสาวอภิศมา กล่าวอีกว่า ในส่วนของผู้ถือหุ้นรายใหญ่นั้น จากข้อมูลในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา สัดส่วนของการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ยังเป็นสัดส่วนเดิม โดยเฉพาะธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ในฐานะบริษัทแม่เคทีซี ที่ล่าสุดยืนยันว่ายังคงสัดส่วนการถือหุ้นในระดับ 49.29% และแบงก์กรุงไทยไม่มีแผนลดสัดส่วนถือหุ้นในเคทีซีแน่นอน
สำหรับผู้ถือหุ้นรายใหญ่จากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ณ วันที่ 23 มิ.ย. 2568 5 อันดับแรก ประกอบด้วย
- ธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB สัดส่วน 49.29%
- นาย มงคล ประกิตชัยวัฒนา สัดส่วน 12.70%
- น.ส. ฉันทนา จิรัฐิติภัทร์ สัดส่วน 4.95%
- บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด สัดส่วน 4.51%
- UOB KAY HIAN PTE LTD A/C – RC สัดส่วน 4.09%