“หุ้นนิคม-อิเล็กทรอนิกส์” บวกยกแผง! ขานรับไทยปิดดีลภาษีสหรัฐ 19%

หุ้นกลุ่มนิคม-อิเล็กทรอนิกส์ขึ้นยกแผง! นำโดย WHA-AMATA-DELTA-KCE-HANA ขานรับไทยปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐ 19% จากเดิม 36% หนุนศักยภาพแข่งขันการส่งออก


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (1 ส.ค.68) ราคาหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวขึ้นยกแผง นำโดย บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ณ เวลา 10:10 น. ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 3.78 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 5.59% ราคาสูงสุดที่ระดับ 3.88 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 3.76 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 350.03  ล้านบาท

บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน)  หรือ AMATA  ณ เวลา 10:11 น. ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 17.20 บาท บวก 1.20 บาท หรือ 7.50% ราคาสูงสุดที่ระดับ 17.30 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 16.90 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 383.94 ล้านบาท

ด้านกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ด้วย นำโดย บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA  ณ เวลา 10:11 น. ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 149.00 บาท บวก 3.00 บาท หรือ 2.05% สูงสุดที่ระดับ 151.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 148.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 782.98 ล้านบาท

บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE ณ เวลา 10:13 น. ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 25.25 บาท บวก 0.45 บาท หรือ 1.81% สูงสุดที่ระดับ 26.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 25.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 113.81 ล้านบาท

บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA ณ เวลา 10:14 น. ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 23.80 บาท บวก 0.70 บาท หรือ 3.03% สูงสุดที่ระดับ 24.40 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 23.60 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 238.68 ล้านบาท

บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CCET ณ เวลา 10:15 น. ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 6.75 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 1.50% สูงสุดที่ระดับ 6.90 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 6.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 135.95 ล้านบาท

บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (1  ส.ค.68) ว่า ไทยได้ดีลภาษีเท่าเทียม (Reciprocal Tariff) ภาษีจากสหรัฐอัตรา 19% ดีกว่ากรณีฐานที่คาดไทยจะได้ภาษี 25% และน่าจะดีกว่ามุมมองตลาดเล็กน้อย ขณะที่ถือว่าใกล้เคียง VS. อินโดนีเซีย,ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อัตราภาษี 19% แต่ต่ำกว่าเวียดนาม 20% หนุนศักยภาพการแข่งขันเชิงเปรียบเทียบระยะกลาง-ยาว

KSS ประเมิน Effective tariff rate (ETR) ของไทยจะอยู่ราว 18.4% ต่ำกว่าระดับอินโดนีเซีย ETR 26%แต่ใกล้เคียงกับเวียดนาม ขณะที่น่าจะได้เปรียบองค์ประกอบสินค้าสวมสิทธิ์ (Transhippment) ที่ไทยมีประเด็นต่ำกว่าเวียดนาม โดยเบื้องต้นคาด SET Index ตอบรับเชิงบวกวันนี้ในกรอบ 1,230-1,260 จุด และในระดับเดือน 1,295 -1,330 จุด

กลยุทธ์เน้นหุ้นกลุ่ม Reopening Trade ที่ Deep Value อาทิ นิคมฯ WHA, AMATA ที่ซื้อขาย PER25F และ PBV25F ในระดับต่ำ AVG – 2 S.D. ส่วนส่งออกให้ Selective ได้แก่ KCE, HANA นอกจากนี้ กลุ่มที่จะได้ประโยชน์การเพิ่มระดับนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯคาดนำเข้าก๊าซ : PTTGC, GPSC, BGRIM รวมถึงกลุ่มที่คาดต้นทุนลดลง ADVANC, COM7, ADVICE, INSET

อย่างไรก็ตามหลังจากนี้คาดตลาดจะรอติดตามประเด็นว่าไทยให้ข้อเสนอใดกับสหรัฐฯบ้าง โดยเบื้องต้นอิงกระแสข่าวก่อนหน้า ได้แก่ เปิดเสรีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯราว 90%, เร่งการนำเข้าสินค้า อาทิ ก๊าซธรรมชาติ เครื่องบินจากสหรัฐฯ

ด้านบล.เมย์แบงก์ ระบุว่า เช้านี้สหรัฐฯ ประกาศผลภาษีเรียบร้อย โดยไทยได้รับอัตราภาษีใหม่ที่ 19% ลดลงจากเดิมที่ 36% เช่นเดียวกับมาเลเซีย 19% ลดลงจากเดิม 25% ทำให้อัตราภาษีของประเทศหลักๆ ในกลุ่มอาเซียนตอนนี้ ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อยู่ที่ 19% ต่ำกว่าเวียดนามที่ถูกเก็บในอัตรา 20% ทำให้ในเชิงการแข่งขันของไทยไม่ได้เสียเปรียบคู่แข่งในภูมิภาค (โดยเฉพาะเวียดนาม) เป็น Sentiment บวกหนุนต่อ SET Index ฟื้นตัวไปทดสอบแนวต้าน 1,250 จุด

โดยประเมินกลุ่มนิคมฯ ได้ประโยชน์จากโอกาสย้ายฐานการผลิตยังมีต่อไปหลังจากเห็นสัญญาณ Wait & See ในช่วงไตรมาส 2/68 ด้านหุ้นในกลุ่มส่งออกเป็นการปลดล็อค Overhang และลดความเสี่ยงเรื่องการแข่งขันในระยะยาว แต่หากมองในระดับ 1-2 ไตรมาสข้างหน้า อาจได้ประโยชน์จำกัด เนื่องจากในช่วง 1H68 ที่หลายอุตสาหกรรมได้เร่งส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯมากแล้วอาจส่งผลต่อคำสั่งซื้อช่วง 2H68 อ่อนตัว ในเชิงกลยุทธ์ เราชอบหุ้นกลุ่มนิคมมากกว่าส่งออก โดยเลือก WHA และ AMATA เป็น Top Pick

ส่วนบล.พาย แนะ “ซื้อ” AMATA ราคาเป้าหมาย 33.50 บาท มองผลประกอบการในช่วง 1-2 ปีนี้ยังได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ไม่มากนัก เนื่องจากมี Backlog ที่รอรับรู้รายได้อยู่กว่า 24,000 ล้านบาท ขณะที่การขายที่ดินในช่วง H1/68 ทำได้กว่า 750 ไร่ โดยระยะสั้นได้แรงหนุนจากการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐ

ส่วน WHA แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 5.30 บาท การขายที่ดินยังทำได้ดีคาดว่าจะออกมาเกินกว่าเป้าที่บริษัทคาดไว้ หลังจากในช่วง H1/68 ทำได้กว่า 1,200 ไร่ และมีการเจรจารอเซ็นสัญญาอีกกว่า 1,400 ไร่ ยังไม่รวมลูกค้าในกลุ่ม Data center ที่มีการเจรจาอีกกว่า 1,000 ไร่

Back to top button