TPCH ร่วง 4% หลังกำไร Q2 หดตัว 63% ฉุดงวด 6 เดือนเหลือ 96 ล้านบาท

TPCH ลบเกือบ 4% หลังกำไรไตรมาส 2/68 ลดฮวบ 49.6% จากปีก่อน เหตุหยุดเดินเครื่องซ่อมบำรุง-ปัญหาเทคนิคหลายโครงการฉุดรายได้ลด ขณะที่ต้นทุนบริหารพุ่งจากอัตราแลกเปลี่ยนและตัดจำหน่ายสินทรัพย์ด้านโครงการต่างประเทศยังขาดทุนต่อเนื่อง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (6 ส.ค.68) ราคาหุ้น บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH ณ เวลา 11:32 น. อยู่ที่ระดับ 2.90 บาท ลบ 0.12 บาท หรือ 3.97% สูงสุดที่ระดับ 2.96 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 2.90 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.72 ล้านบาท

โดยราคาหุ้น TPCH ปรับตัวลดลงวันนี้ หลังรายงานกำไรสุทธิงวดไตรมาส 2 และงวด 6 เดือนแรกของปี 68 ปรับตัวลดลง ดังนี้

ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/68 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิรวม 57.96 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนจำนวน 46.38 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 44.5 และลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนจำนวน 57.05 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 49.6 แบ่งเป็นกำไรสุทธิของบริษัทจำนวน 31.43 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 33.87 ล้านบาท หรือร้อยละ 51.9 และลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 54.24 ล้านบาท หรือร้อยละ 63.3 สาเหตุหลักมาจากผลการดำเนินงานของกลุ่มโรงไฟฟ้าชีวมวล (PTG, CRB, TSG, PGP, SGP, MWE) ที่โดยรวมค่อนข้างคงที่

โดยในไตรมาสนี้บริษัทรับรู้กำไรสุทธิตามสัดส่วนการถือหุ้นรวม 81.54 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจากโครงการ PGP หยุดเดินเครื่องเพื่อซ่อมบำรุงประจำปี 11 วัน และเกิดเหตุขัดข้อง (Unplanned Shutdown) รวม 27 วัน 6 ชั่วโมง จากปัญหา Generator Trip ระหว่างวันที่ 6 มิถุนายน ถึง 25 กรกฎาคม 2568 ก่อนกลับมาเดินเครื่องตามปกติในวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 โดยมีอัตราเดินเครื่องเฉลี่ย 79%

ส่วนโครงการ PTG เกิดเหตุขัดข้อง 25 วัน จากปัญหา Turbine ระหว่างวันที่ 10 มิถุนายน ถึง 21 กรกฎาคม 2568 และกลับมาเดินเครื่องตามปกติในวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 โดยมีอัตราเดินเครื่องเฉลี่ย 80% ขณะที่โครงการ CRB, TSG, SGP และ MWE มีอัตราเดินเครื่องเฉลี่ยมากกว่า 95%

สำหรับกลุ่มกิจการร่วมค้าโรงไฟฟ้าชีวมวล (MGP) มีอัตราการเดินเครื่องเฉลี่ย 83% ในไตรมาสนี้ แม้จะเกิดเหตุขัดข้องรวม 10 วัน 33 ชั่วโมง แต่สามารถบริหารจัดการต้นทุนเชื้อเพลิงได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 17.77 ล้านบาท

ด้านกลุ่มกิจการร่วมค้าโรงไฟฟ้าขยะชุมชน (SPNT) โครงการสยาม พาวเวอร์ นนทบุรี มีอัตราการเดินเครื่องเฉลี่ยเพียง 48% ซึ่งต่ำกว่าไตรมาสก่อน ทำให้ผลประกอบการยังไม่มีกำไร เนื่องจากยังมีค่าใช้จ่ายบริหารและต้นทุนทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการอื่นในกลุ่มโรงไฟฟ้าขยะชุมชน สำหรับกลุ่มโครงการต่างประเทศ (MKP และ IWP) ที่บริษัทถือหุ้นร้อยละ 40 เท่ากันทั้งสองโครงการ ในไตรมาสนี้บริษัทมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการ ส่งผลให้รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจำนวน 6.22 ล้านบาท

ขณะที่บริษัทฯ มีรายได้จากการขายไฟฟ้าในไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 531.86 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนจำนวน 71.11 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.8 และลดลงจากปีก่อนจำนวน 51.18 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.8 โดยมีสาเหตุมาจากเหตุขัดข้องของโครงการ PGP, PTG และ MWE ส่งผลให้ปริมาณไฟฟ้าที่ขายลดลง อย่างไรก็ดี โครงการทั้งหมดได้กลับมาเดินเครื่องตามปกติภายหลังจากหยุดซ่อมบำรุงในเดือนกรกฎาคม

ต้นทุนจากการขายไฟฟ้าในไตรมาสนี้อยู่ที่ 376.94 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนจำนวน 20.11 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.1 และลดลงจากปีก่อนจำนวน 1.85 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.5 โดยต้นทุนหลักประกอบด้วยค่าจ้างและบริหารจัดการเดินเครื่อง ค่าเชื้อเพลิง ค่าไฟฟ้า ค่าประกันภัย ค่าขนขี้เถ้า ค่าเสื่อมราคา และค่าวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อบำรุงรักษาเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพ โดยทุกโครงการบริหารจัดการเชื้อเพลิงเอง ยกเว้น CRB และ TSG

ส่วนของค่าใช้จ่ายในการบริหาร บริษัทมีค่าใช้จ่ายรวม 54.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 11.52 ล้านบาท หรือร้อยละ 26.9 และเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2.16 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.1 สาเหตุหลักมาจากการตัดจำหน่ายยานพาหนะของโครงการ PTG และการรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 15.75 ล้านบาท ซึ่งเกี่ยวข้องกับเงินกู้ยืมและดอกเบี้ยของโครงการต่างประเทศ สำหรับต้นทุนทางการเงินในไตรมาสนี้อยู่ที่ 47.00 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 2.34 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.7 และลดลงจากปีก่อน 4.25 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.3 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงินที่ปรับลดลง

Back to top button