
DUSIT เด้งแรง 24% นิวไฮรอบ 9 เดือน ขานรับเตรียมปรับโครงสร้างบอร์ด
DUSIT เด้งแรง 24% นิวไฮรอบ 9 เดือน 10 วัน ขานรับเตรียมปรับโครงสร้างบอร์ด จับตาประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น 26 ก.ย.นี้ หลัง “ชนินทธ์” แถลงปมถูกเสนอถอดถอนชื่อออกจากกรรมการบริษัท หวั่นเปิดทาง “กลุ่มเซ็นทรัล” เข้าเทกโอเวอร์ หลังเคยพยายามเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (28 ส.ค. 68) ราคาหุ้น บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT ณ เวลา 10:12 น. อยู่ที่ระดับ 11.80 บาท บวก 2.30 บาท หรือ 24.21% สูงสุดที่ระดับ 12.30 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 10.60 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 30.27 ล้านบาท
สำหรับราคาหุ้นดีดกลับขึ้นมา ตอบรับวานนี้ (27 ส.ค.) นายชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ DUSIT แถลงการณ์ถึงกรณีบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดของ DUSIT อาศัยอำนาจตามมาตรา 100 แห่งพ.ร.บ.บริษัทมหาชน พ.ศ. 2535 ได้เสนอวาระให้ถอดถอนตนออกจากตำแหน่งกรรมการในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ของ DUSIT วันที่ 26 ก.ย. 2568 ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่คือการพยายามจะครอบงำกิจการ (Take Over) DUSIT โดยไม่เป็นธรรม
โดยก่อนหน้านี้มีการใช้อำนาจผ่านบริษัท ชนัตถ์และลูก ไม่อนุมัติงบการเงิน ทั้งที่งบการเงินไม่ได้มีปัญหาและล่า สุดยังพยายามถอดถอนตนออกจากตำแหน่งกรรมการใน DUSIT เพื่อแต่งตั้งบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับคนภายนอกครอบ ครัวเข้ามาควบคุมอำนาจบริหาร ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อ DUSIT แต่ยังเป็นการเปิดทางให้คนนอกครอบครัวเข้ามายึดกิจการที่ครอบครัวสร้างมาอีกด้วย นอกจากนี้ ตนเห็นว่าผู้ที่จะต้องเสียหายไปด้วย คือ ผู้ถือหุ้นรายย่อยที่อยู่ในฐานะที่ไม่สามารถตอบโต้หรือทำอะไรได้เลย
สำหรับสิ่งที่น่ากังวลสุดคือการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการครั้งนี้ ถือว่าไม่ใช่เรื่องปกติ เพราะมีการเสนอกรรมการใหม่บางคนที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับกลุ่มเซ็นทรัล อีกทั้งการเปลี่ยนกรรมการที่มีอำนาจจากคนในครอบครัว ไปสู่คนนอก ที่ไม่เคยบริหารและไม่รู้จัก DUSIT อย่างแท้จริงมาก่อน โดย 2 ใน 3 สามารถลงนามแทนบริษัท เป็นการเปิดทางให้คนนอก เข้าควบคุมกิจการที่ครอบครัวสร้างมาได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีกรรมการเดิมลงนามเลยก็สามารถผูกพัน DUSIT ได้
โดยที่ผ่านมา มีความพยายามผลักดันให้ตนเองแบ่งหุ้นบริษัท ชนัตถ์และลูกฯ ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน DUSIT ออก เป็น 3 ส่วน เพื่อขายต่อให้คนนอกทั้ง ๆ ที่ข้อบังคับบริษัท ชนัตถ์และลูกฯ ระบุไว้ว่าไม่ให้ขายหุ้นให้แก่คนนอกครอบครัว การกระทำเช่นนี้ เท่ากับเปิดประตูให้คนนอกเข้ามาครอบครองกิจการที่เคยเป็นของครอบครัวสร้างมาด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง
ขณะที่กลุ่มเซ็นทรัล เคยพยายามเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ DUSIT หลายครั้ง และครั้งหนึ่งเคยซื้อหุ้น DUSIT จนถึง 22.5% โดยไม่แจ้งให้เราทราบ ทั้งที่เป็นพันธมิตรและคู่สัญญาในโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค จนตนเองต้องไปเจรจา เพื่อขอให้กลุ่มเซ็นทรัลขายหุ้นออกครึ่งหนึ่ง และขอไม่ให้กลุ่มเซ็นทรัลส่งคนมานั่งเป็นกรรมการ เพราะธุรกิจของ DUSIT มีความทับซ้อนกัน เช่น ธุรกิจสายโรงแรมมีการแข่งขันกันโดยตรง และยังมีธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอาหารเหมือนกัน ด้วยเกรงว่าจะเกิดปัญหาเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์
ต่อมาตนเองได้ทราบมาจากหลายช่องทางและเข้าใจว่า กลุ่มเซ็นทรัลและบริษัท ชนัตถ์และลูกฯ ภายใต้การบริหารของน้องสาวทั้งสองคน ได้มีการหารือกันหลายครั้ง เพื่อหาทางซื้อหุ้นเพิ่ม ตนเองเข้าใจว่าการหารือกันระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย อาจมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะเข้าควบคุมอำนาจบริหารกิจการ DUSIT ซึ่งตนเองเห็นว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง และจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ และโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส และยังอาจมีประเด็นเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์ เนื่องจากความทับซ้อนของธุรกิจ และที่สำคัญ ณ ปัจจุบันโครงการนี้สามารถขายไปได้แล้วกว่า 92% เพราะผู้ซื้อเชื่อมั่นในชื่อเสียงและการบริหารงานอย่างมีคุณภาพ และการไม่เอาเปรียบผู้ซื้อของ DISIT
โดยโครงการดังกล่าว รอทยอยรับรู้รายได้การโอนอย่างมีนัยสำคัญในปีหน้า (ปี 2569) และจะช่วยให้ DUSIT มีรายได้เติบโตมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และกำลังจะมีกำไรมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน รายได้เหล่านี้ จะมาช่วยปลดภาระหนี้ที่ค้างอยู่ แต่ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ซื้อ และอาจจะส่งผลกระทบต่อการโอนห้องชุดที่จะเริ่มในไม่กี่เดือนข้างหน้า และกระทบต่อความเชื่อมั่นในโครงการทั้งหมด
ส่วนข้อกล่าวหาว่า DUSIT ขาดทุนต่อเนื่องและมีหนี้สินสูงนั้น ไม่ได้สะท้อนความจริงทั้งหมด การขาดทุนส่วนใหญ่เกิดจากภาระดอกเบี้ยของโครงการใหญ่ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” มูลค่า 46,000 ล้านบาท การลงทุนในโครงการต่าง ๆ ก่อนที่จะเกิดโควิด-19 และความพยายามในการประคับประคองกิจการในช่วงโควิด-19 โดยที่ DUSIT ไม่เคยเพิ่มทุนแม้แต่น้อย และไม่เคยที่จะผลักภาระต่าง ๆ ไปยังผู้ถือหุ้น แต่พยายามอย่างมากที่จะดูแลประคับประคองกิจการ ดังนั้น นี่ไม่ใช่การล้มเหลวทางธุรกิจ แต่เป็นรากฐานในการสร้างธุรกิจให้เติบโตต่อไป
“ผมขอยืนยันว่า ดุสิตธานี จะต้องเป็นบริษัทที่มีความอิสระ ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัทอื่น ผมขอยืนยันว่าสิ่งที่ผมทำ ไม่ใช่เพื่อรักษาตำแหน่ง แต่เพื่อรักษาความถูกต้อง ความเป็นธรรม และอนาคตขององค์กร เพื่อให้ดุสิตธานียังคงเป็นแบรนด์ไทยที่น่าภาคภูมิใจของครอบครัว ผู้ถือหุ้น ผู้บริหาร พนักงาน และประเทศชาติ ผมขอสัญญาว่าผมยังจะไม่ไปไหนและยังอยู่กับดุสิตธานีตลอดไป หากเข้ามาทำให้ดุสิตธานีเสียหายผมจะใช้สิทธิที่ตนเองมีในการดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด” นายชนินทธ์ กล่าว
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม DUSIT เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ถึงกรณีหากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น มีมติถอดถอนนายชนินทธ์ โทณวณิก จากตำแหน่งรักษาการประธานกรรมการและกรรมการ DUSIT ว่าความเสี่ยง คือ ทิศทางบริษัทอาจจะไม่เป็นอิสระ และอาจเสียเอกลักษณ์ที่เราสร้างมากว่า 76 ปี เชื่อว่าดุสิตธานี ควรเป็นแบรนด์ไทยที่ขับเคลื่อนด้วยเจตนารมณ์ดั้งเดิม
โดยขณะนี้ตนเองและผู้บริหารทุกคนยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถเช่นเดิม ในฐานะผู้บริหารมืออาชีพ ตนเองสามารถร่วมงานได้กับทุกคน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราคงต้องรอดูมติของผู้ถือหุ้นและกรรมการอีกครั้ง
ส่วนการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในมุมของแผนดำเนินการ ยังไม่มีผลกระทบอะไรกับโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” เพราะสามารถขายไปแล้ว 92% รอเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ช่วงปลายปีนี้ แต่เนื่องจากความไม่แน่นอนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ซื้อ และอาจส่งผลกระทบต่อการโอนห้องชุด ที่จะเริ่มในไม่กี่เดือนข้างหน้าบ้าง
ขณะที่บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ออกแถลงการณ์โดยอ้างถึงกรณีที่มีข่าวพาดพิงบริษัทว่า เป็นความเข้าใจผิดต่อนโยบายการเข้าลงทุนใน DUSIT บริษัทขอปฏิเสธข้อมูลที่มีการเผยแพร่สู่สาธารณะ และขอชี้แจงว่า บริษัทได้รับโอกาสในการร่วมลงทุน และเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ DUSIT ในการพัฒนาโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค มาตั้งแต่ปี 2560 ใช้งบลงทุนมูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท โครงการดำเนินการพัฒนาด้วยดีมาโดยตลอด ในส่วนของโรงแรมและอาคารสำนักงานได้เปิดดำเนินการแล้ว และศูนย์การค้าเซ็นทรัล พาร์ค กำลังจะเปิดให้บริการวันที่ 4 กันยายน 2568 นี้
ปัจจุบัน CPN ถือหุ้นใน DUSIT จำนวน 145,238,320 หุ้น คิดเป็น 17.09% ตั้งแต่ปี 2561 ที่ผ่านมา CPN เคารพในการบริหารงานของผู้ถือหุ้นใหญ่ และสนับสนุนการดำเนินงานด้วยดีมาโดยตลอด
ดังนั้น CPN ได้รับการเสนอให้ส่งตัวแทน เพื่อให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นแต่งตั้งเป็นกรรมการ DUSIT โดย CPN เล็งเห็นว่าจะสามารถใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญ เพื่อร่วมสนับสนุนการดำเนินงาน DUSIT ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไป การเสนอชื่อเพื่อแต่งตั้งกรรมการเป็นไปตามแนวทางการมีส่วนร่วมตามสัดส่วนการถือหุ้น ถือเป็นแนวปฏิบัติตามปกติในการดูแลเงินลงทุน โดยไม่มีอำนาจการควบคุมใน DUSIT แต่อย่างใด
ทั้งนี้ CPN มีเจตนาอันดีและดำเนินงานภายใต้หลักธรรมาภิบาลตามแนวทางของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมถึงการกำกับดูแลเรื่องการจัดการความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest) อันเป็นสิ่งที่ CPN ให้ความสำคัญ และดำเนินการแนวทางปฏิบัติเดียวกันกับการร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจทุกราย ทั้งในและต่างประเทศมาโดยตลอด
ขณะที่ DUSIT บริหารงานโดยกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด และ CPN ขอยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ในการตัดสินใจดำเนินการบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด CPN ยึดหลักธรรมาภิบาลการดำเนินธุรกิจมาตลอด 45 ปี และได้รับการรับรองและตรวจสอบอย่างโปร่งใสมาโดยตลอด รวมถึงสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนให้ทุกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง