เปิดโผหุ้นรับรัฐบาลกระตุ้นท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 29 พ.ย.59 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี 2559 เนื่องจากช่วงนี้รัฐบาลมีนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี และขณะเดียวกันก็เป็นช่วงที่ประชาชนเดินทางกลับบ้านและท่องเที่ยวด้วย


–เส้นทางนักลงทุน–

 

เมื่อวันที่ 29 พ.ย.59 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี 2559 เนื่องจากช่วงนี้รัฐบาลมีนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี และขณะเดียวกันก็เป็นช่วงที่ประชาชนเดินทางกลับบ้านและท่องเที่ยวด้วย

ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริมและฟื้นฟูการท่องเที่ยวซึ่งเป็นผลมาจากการปราบปรามการท่องเที่ยวผิดกฎหมายอาจจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงเป็นระยะสั้นๆ กระทรวงการคลังจึงเสนอให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ผู้มีเงินได้ ซึ่งจ่ายค่าบริการให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว และค่าที่พักในโรงแรมให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยกำหนดให้เงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าบริการให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ และค่าที่พักในโรงแรมให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม

สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศระหว่างวันที่ 1 ธ.ค.-31 ธ.ค.59 ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่รวมทั้งหมดไม่เกิน 15,000 บาท เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีบุคคลธรรมดา และสืบเนื่องจากก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ออกมาตรการในลักษณะเดียวกันนี้ สำหรับการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวภายในประเทศจำนวน 15,000 บาท เมื่อช่วง 1 ม.ค.-31 ธ.ค.59

ดังนั้น หากรวมกับมาตรการเดิมที่มีอยู่แล้วจะทำให้มีวงเงินหักลดหย่อนได้ถึง 30,000 บาท…ใครที่ทั้งปียังไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลยจนถึงช่วงเดือนธันวาคมนี้ก็ได้ 3 หมื่นบาท รีบเลยไม่นั้นจะพาสโอกาส ได้ทั้งความสุข ได้ทั้งลดหย่อนภาษี

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังประเมินว่ามาตรการนี้จะมีผลต่อการจัดเก็บภาษีประมาณ 150 ล้านบาท แต่ขณะเดียวกันจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศทำให้เกิดการใช้จ่ายมากขึ้น และยังเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศไม่ให้เกิดไหลออกไปนอกประเทศ และนอกจากนั้นยังเป็นการดึงผู้ประกอบการ มัคคุเทศก์ และโรงแรมให้เข้าสู่ระบบถูกกฎหมาย

อย่างไรก็ดี มาตรการดังกล่าวเป็นตัวช่วยประคับประคองสถานการณ์การท่องเที่ยวที่ซบเซา และถือเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มท่องเที่ยวและขนส่ง โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและธุรกิจสายการบิน อย่าง บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW, บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือMINT

ต่อมา บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT, บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV, บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI, บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAและ บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือNOKตามลำดับ ซึ่งทั้งหมดล้วนได้รับอานิสงส์เต็ม ๆ ของช่วงระยะเวลาการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศจากรัฐบาล

 

นอกจากนี้ บริษัทดังกล่าวรับผลบวกสอดคล้องเกี่ยวกับมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวแล้ว ยังมีการบทวิเคราะห์เป้าหมายของราคาหุ้นว่ายังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้อีก

อย่าง บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW ทางนักวิเคราะห์ บล.เคทีบี ยังชอบที่สุดจากประเด็นแนวโน้มการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่ง ERW จะได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากการมีสัดส่วนรายได้จากในประเทศ 100% ในปัจจุบัน โดยเรามองผลกระทบจากการงดจัดงานเลี้ยงรื่นเริงในช่วงไตรมาส 4 ปี 59 เป็นเพียงผลกระทบระยะสั้น ขณะที่ในระยะยาวยังได้รับผลบวกจากการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวจากรัฐบาล จึงยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 5.40 บาท

บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL ทางนักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ มองว่า CENTEL เป็นผู้ได้ประโยชน์โดยตรงจากการท่องเที่ยวและการบริโภคที่เพิ่มขึ้น โดยผู้บริหารเชื่อว่าผลกระทบมาจากช่วงไว้อาลัย และคาดว่าจะกลับมามี TSSg ที่ 5-6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และ RevPar โต 3-4% ในปีหน้า จึงยังคงแนะนำ “ซื้อ” โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 45 บาท

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ทางนักวิเคราะห์บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองว่าแม้แน้วโน้มกำไรไตรมาส 4 ปี 59 คาดจะถูกกระทบชั่วคราวจากผลของการไว้ทุกข์ แต่ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางผลการดำเนินงานในปี 2560 จากสภาวะตลาดในประเทศไทยที่คาดว่าจะกลับสู่ภาวะปกติ ขณะที่ธุรกิจในต่างประเทศคาดว่าจะเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นในหลายๆส่วน จึงยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2559-2560 ที่คาดเติบโต 14.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และ 20.2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 2560 ที่ 48 บาท

ด้าน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ทางนักวิเคราะห์ บล. บัวหลวง มองว่า ราคาหุ้น AOT ซึ่งปรับตัวด้อยกว่าตลาดในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนการคาดการณ์กำไรที่อ่อนตัวในไตรมาส 1/60 ( ต.ค.-ธ.ค.) ซึงเป็นผลจากการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญของรัฐบาลไปแล้ว อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลกระทบดังกล่าวจะเป็นเพียงช่วงระยะสั้นหากเป็นไปตามรูปแบบในอดีตของการท่องเที่ยวไทย และคาดว่าการกลับมาของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะปรับตัวสูงขึ้นจากการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่ากอปรกับการเข้าสู่ช่วงจุดสูงสุดของไฮซีซั่นช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นในระยะต่อไป จึงยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 490 บาท

บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV ทางนักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป มองว่าจาก AAV ตั้งเป้าผู้โดยสารปีนี้ที่ 19.5 ล้านคน โต 14% จากงวดเดียวกันของปีก่น และจะรับเครื่องบินเพิ่ม 6 ลำ จากแผนเดิม 5 ลำ เป็น 57 ลำ เครื่องใหม่เป็น NEOs ทั้งหมด โดยจะเน้นเปิดเส้นทางบินใหม่ใน CLMV และอินเดีย และเพิ่มความถี่ในเส้นทางบินที่มีศักยภาพ อู่ตะเภาซึ่งเป็น 1 ใน 6 Hub ของ AAV จะเปิดใช้ Terminal ใหม่ในปี 2560 น่าจะเห็นเส้นทางบินจากอู่ตะเภามากขึ้น

ส่วนต้นทุนน้ำมันก็ได้มีการทำ hedging ไว้แล้วราว 72% ที่เฉลี่ย 60 เหรียญต่อบาร์เรล การแข่งขันที่สูงคงต้องดูนโยบายด้านราคาของ AAV อย่างไรก็ตาม แต่ก็ได้ปรับลดรายได้เฉลี่ยต่อตั๋วลงเป็น 1,627 บาท จากเดิม 1,700 บาท แต่เพิ่มขึ้น 2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน คาดรายได้ขาย/บริการลดลงเป็น 38,080 ล้านบาท และกำไรสุทธิที่ 2,466 ล้านบาท จากเดิมที่คาดไว้ 2,604 ล้านบาท อิง P/E 16 เท่า ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐานปี 2560 ปรับเป็น 8.15 บาท

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAIทางนักวิเคราะห์ บล.เคจีไอ มองว่า ในมุมต้นทุน ราคาน้ำมันพักฐานตามคาด แม้หากที่ประชุม OPEC วันที่ 30 พ.ย.อาจจะได้ข้อสรุปลดกำลังการผลิต แต่ก็คาดว่า upside ราคาน้ำมันคงไปได้ไม่มาก เพราะยังมีแรงกดดันจากการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันจาก Shale oil ส่วนในกรณีที่คาดผิด คือ ราคาน้ำมันดีดแรงเกิน 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรลหลังการประชุม OPEC ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 34 บาท

บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ทางด้านนักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ มองว่า จาก BA มีแผนที่จะเพิ่มขนาดของสนามบินให้รองรับได้ 70 เที่ยวบินต่อวันจากเดิม 50 เที่ยวบิน โดยได้ยื่นขอ EIA ไปแล้ว และจะได้ข้อสรุปในปีหน้า และจะเริ่มปรับปรุบสนามบินสมุยในต้นปีหน้าและใช้เวลาในการพัฒนา 2 ปี แนะนำให้ “ซื้อ” โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 28.56 บาท

บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOK ทางด้านนักวิเคราะห์ บล.เคจีไอ มีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นกับแนวโน้มธุรกิจของบริษัทในอีกสองสามปีข้างหน้า เนื่องจาก 1) ธุรกิจ LCC ที่ดีขึ้น และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ NokScoot (2) ต้นทุนน้ำมันเครื่องบินทรงตัว (3) จำนวนผู้โดยสารเพิ่มหุ้นดังกล่าวข้างต้น เป็นตัวอย่างที่คาดว่ามีแนวโน้มที่ดี…ของช่วงระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี 2559

Back to top button