ขอรับบริจาคได้นี่นา

เห็นหงิมๆ ติ๋มๆ อย่างนี้ แต่อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ขุนคลังสยามปัจจุบัน ยังมีคุณลักษณะ “ปากดี” ไม่ใช่เล่น


ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงค์

เห็นหงิมๆ ติ๋มๆ อย่างนี้ แต่อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ขุนคลังสยามปัจจุบัน ยังมีคุณลักษณะ “ปากดี” ไม่ใช่เล่น

ข้อที่น่าระวังก็คือ หาก “ทรงภูมิ” ก็ไม่น่าเกลียดอะไร แต่หาก “ตื้นเขิน” อิงแอบกับข้อมูลที่ผิดหรือไม่รอบด้านนี่สิ มันจะประดักประเดิด ไม่เท่สง่างามแน่

จะบอกว่าเข้าข่าย “น่าเกลียด” หรือก็ยังเกรงใจ

ดำริจัดตั้งกองทุน CMDF (Capital Market Development Fund) เรียกสั้นๆ ว่า “กองทุนพัฒนาตลาดทุน” ที่กระทรวงการคลังจะต้องแก้ไข พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 2535 คือตัวอย่างที่ไม่คิดและถึงคิดก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานข้อมูลที่ผิดไง

คนไทยส่วนใหญ่สมัย 10 ปีมานี้แปลก! คิดอะไรแต่ผลเพียงผิวๆ ไม่มี “ลอจิค” หรือระบบเหตุผลเอาเสียเลย และก็เป็นโรคระบาดตั้งแต่ชนสามัญยันเสนาบดีเสียด้วย

กระทรวงการคลังไม่ได้มีส่วนเป็นเจ้าของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯและก็ไม่เคยมีแม้กระทั่งเงินบริจาคสักนิด แต่อยู่ๆ เห็นตลาดหลักทรัพย์ฯมีตังค์ ก็จะใช้อำนาจออกกฎหมายเอาเงินไปใช้

ตลท.มีทรัพย์สินอยู่ 2.4 หมื่นล้านบาท คิดหักสะระตะเป็นค่าใช้จ่ายและกันสำรองต่างๆ แล้ว จะเหลือเงินประมาณ 8,000 ล้านบาทพอดี ก็จะเอาเงินก้อนนี้แหละไปเป็นทุนประเดิม CMDF

แล้วก็จะเอากำไรสุทธิ 90% (ประมาณ 1,500 ล้านบาท) ไปเป็นค่าบำรุงรายปีแบบทุกปีๆ โดยไม่มีกำหนดเวลา และก็จะปรับหน้าที่พัฒนาตลาดทุนให้ก.ล.ต.มาเป็นพระเอก ให้ตลท.รับผิดชอบแค่การซื้อขายและระบบชำระเงิน

เอากันแต่เริ่มต้นประเด็นแรกของความไม่มี “ลอจิค” เลยก็คือ คุณเอาอำนาจอะไรจะไปเอาเงินองค์กรที่รัฐไม่มีส่วนเป็นเจ้าของ

ใครติติงว่า “คุณปล้นกลางแดด” บ้าง หรือ “วิ่งราวทรัพย์” บ้าง คุณก็มีโมโหถึงกับหลุดอารมณ์ว่า “คนที่คิดว่าคลังถังแตกแล้ว ต้องการเงินดังกล่าว คนที่คิดแบบนี้มันทุเรศ”

ขอโทษนะรัฐมนตรี ถ้าคุณไม่คิดรวบเงินตั้ง 8 พันล้านบาท และเรียกค่าบำรุงรายปีอีกตั้ง 1.5 พันล้านบาทไปชั่วฟ้าดินสลาย และก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้นแก้กฎหมาย เสียงวิพากษ์วิจารณ์คงไม่เซ็งแซ่ขนาดนี้มั้ง

ข้อต่อมาของความไม่มีลอจิคก็คือ “โมเดลพัฒนาตลาดทุนฉบับก.ล.ต.” นั้นหน้าตาจะเป็นอย่างไร แต่นี่ไม่เห็นคุณมีโมเดลอะไรแม้กระทั่งในใจเลยนี่ มันง่ายไปมั้งที่คุณจะใช้อำนาจบงการให้ใครทำหรือไม่ให้ใครทำ

ข้อที่สาม คุณเบลมตลท.ว่ามีเงิน แต่ใช้เงินไม่คุ้มค่า เรื่องที่ควรใช้ก็ไม่ใช้ เรื่องที่ไม่จำเป็นก็ใช้มาก สรุปว่ารัฐมนตรีระบุชัดว่า “ตลาดหลักทรัพย์ฯมีเงินแต่ใช้เงินไม่เป็น” ก็แล้วกัน

ขณะเดียวกันก็ไปสรุปทางฝั่งก.ล.ต.ว่า มีผลงานพัฒนาตลาดทุนมาก แต่เงินไม่มี เงินไปอยู่ทางฝั่งตลาดหลักทรัพย์ฯหมด ซึ่งก็ตำหนิไปแล้วไงว่า “ใช้เงินไม่เป็น”

นี่คือ “ดิส อินฟอร์เมชั่น” ครับ ข้อมูลรัฐมนตรีผิดหมดเลย

รัฐมนตรีรู้หรือเปล่าว่าก.ล.ต.น่ะมีผลการดำเนินงานเป็นกำไรนะ (เพียงแต่หลบไปใช้คำว่ารายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายรวม) โดยปี 2558 มีกำไรสุทธิ 259 ล้านบาท ปี 2559 ที่ผ่านมามีกำไรเพิ่มเป็น 493 ล้านบาท

ก.ล.ต.เป็นองค์กรที่ไม่มีเงินแบบรัฐมนตรีว่าได้อย่างไรกัน

ขนาดเงินที่นำไปใช้พัฒนาตลาดทุน  ก.ล.ต.ยังได้เงินมากกว่าเสียเงินเลย องค์กรธุรกิจเอกชน ยังไม่มีความสามารถทำกำไรจากกิจการ CSR ได้เทียบเท่าก.ล.ต.เลย

รายได้ทุกรายการของตลาดหลักทรัพย์ฯก็ต้องส่งมอบให้ก.ล.ต. 40% นะครับ มีใครหวังดีไปรายงานรัฐมนตรีบ้าง หรือรายรอบรัฐมนตรีมีแต่คนสอพลอเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ในงบฯปี 58 ก.ล.ต.จึงบันทึกรายได้เงินอุดหนุนจากตลาดหลักทรัพย์ฯ 455 ล้านบาทและปี 59 ก็ได้เพิ่มเป็น 536 ล้านบาท

ก.ล.ต.นั้นจนมากเหรอ ท่านรัฐมนตรี?

คิดกันบ้างหรือเปล่าเนี่ยว่าทำไมตลาดหลักทรัพย์ฯถึงต้องมีเงินอยู่กับตัวเยอะพอสมควร เพราะหากเกิดระบบล่มหรือมีเหตุทุพภิกขภัยขึ้นมา เราใช้ระบบ T+3 ในการชำระราคาหุ้นกันอยู่ ถ้าเราซื้อขายวันละ 4 หมื่นล้านบาท 3 วันก็ต้องมีเงิน 1.2 แสนล้านบาทชำระราคาแทนเขาได้

ตลาดมันขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นนะ ถ้าซื้อขายแล้วชำระราคากันไม่ได้ เงินก็โบยบิน และก็อย่าหวังเลยว่ามันจะกลับมา

ความจริงผมเองก็มีข้อวิจารณ์การทำงานของตลาดหลักทรัพย์ฯอีกจำนวนหนึ่งเหมือนกัน แต่ขอยกยอดไว้ก่อน เพราะมาใช้เวลากับเรื่องความมี “ลอจิค” หรือ “ไม่มีลอจิค” ของกระทรวงการคลังมากพอสมควร

เอาเป็นว่ากระทรวงการคลังขอเป็นเงิน “รับบริจาค” จากตลาดหลักทรัพย์ฯไปซะเลยยังจะสวยกว่า และก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปแก้ไขกฎหมายให้มันบิดเบือนไปจากหลักการมากไปกว่านี้อีกด้วย

Back to top button