หุ้นบูลชิพเดือน พ.ย. ดิ่งมากกว่าเด่น

บรรยากาศตลาดหุ้นไทยช่วงเดือนพฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา พบว่าผันผวนตลอดทั้งเดือน


เส้นทางนักลงทุน

บรรยากาศตลาดหุ้นไทยช่วงเดือนพฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา พบว่าผันผวนตลอดทั้งเดือน

อนึ่งสัปดาห์แรกนักลงทุนมีการขายทำกำไรเมื่อดัชนีไม่สามารถปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 1,730 จุดได้ ประกอบกับการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียนในช่วงก่อนหน้าของหุ้นขนาดใหญ่ค่อนข้างต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ยังมีการขายทำกำไรในหุ้นกลุ่ม ICT ออกมามาก และทำให้หุ้นในกลุ่มนี้ปรับตัวลงแรงและฉุดให้ดัชนี ปรับตัวลง เนื่องจาก กสทช. ได้ประกาศกำหนดแผนการประมูลคลื่น 900 และ 1800 MHz ที่จะหมดสัญญาในวันที่ 15 ก.ย. 2561 โดยกำหนดราคาประมูลที่ขั้นต่ำ 3.7 หมื่นล้านบาท และจะประมูลด้วยระบบ N-1

สัปดาห์ที่สองดัชนียังคงปรับตัวลงต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยปรับตัวลงแรงในช่วงปลายสัปดาห์จากแรงขายของหุ้นในกลุ่มขนาดกลางและขนาดเล็ก เช่น กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง หลังการประกาศงบการเงินไตรมาส 3 ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่าน เป็นการ Sell on Fact จากการเก็งกำไรหุ้นที่ประกาศผลประกอบการออกมาดีตามคาดและหุ้นที่ประกาศผลประกอบการออกมาต่ำกว่าคาด

สัปดาห์ที่สามดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดทั้งสัปดาห์ โดยแรงซื้อหลักยังคงมาจากสถาบันภายในประเทศ หุ้นกลุ่มหลักที่ปรับตัวขึ้นสูงในสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยการปรับตัวขึ้นแรงของหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและกลุ่มพาณิชย์นั้นมาจากการประการผลประกอบการที่ดี

ประกอบกับจากที่ ครม. เห็นชอบมาตรการช้อปช่วยชาตินำค่าใช้จ่ายมาช่วยหักภาษีได้ในวงเงิน 15,000 บาท ซึ่งเป็นผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี ทำให้มีแรงซื้อหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว

ส่วนสัปดาห์ที่สี่ดัชนีมีการปรับตัวลง นักลงทุนมีการขายทำกำไรมากขึ้นเมื่อเห็นว่าดัชนีไม่สามารถปรับตัวผ่านระดับ 1,720 จุดไปได้ แรงขายมีการกระจายตัวในทุกกลุ่ม โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่ตั้งแต่ต้นปีมีการปรับตัวขึ้นมามากในช่วงก่อนหน้า

ภาพรวมตลอดทั้งเดือนพฤศจิกายนเห็นได้ชัดว่าปัจจัยลบมีมากกว่าปัจจัยบวก จึงไม่แปลกที่ว่าดัชนีจะหลุดแนวรับ 1,700 จุด และวันสุดท้ายของเดือน ณ วันที่ 30 พ.ย. 60 ลงมาปิดที่ระดับ 1,697.39 จุด

ขณะเดียวกันหุ้นขนาดใหญ่ก็มีแรงเทขายทำกำไรออกมาเช่นกัน จากภาพรวมของดัชนี SET50 ปรับตัวลงซึ่งปรับลง 0.82% จากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1, 094.74 จุด (31 ต.ค. 2560) ลงมาอยู่ที่ 1,085.74 จุด (30 พ.ย. 2560) หรือลงไป 9 จุด

เมื่อเจาะลึกไปในรายตัวกลุ่ม SET50 ก็ทำให้เห็นชัดว่าที่ดัชนีรวมปรับลง เนื่องจากมีหุ้นที่ปรับตัวลง 29 ตัว และมีหุ้นที่ราคาปรับขึ้นเพียง 20 ตัว ส่วนอีก 1 ตัว ราคาหุ้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง

สำหรับหุ้นที่ปรับตัวลง อาทิ ROBINS, PTTGC, KKP, MTLS, HMPRO, PTT, DELTA, BANPU, SCC, BTS, GLOW, LH, IRPC, INTUCH, EGCO, SPRC, TPIPL, TRUE, PSH, TOP, CPF, BH, GPSC, GLOBAL, ADVANC, BPP, KCE, DTAC และ CBG

ส่วนหุ้นที่ปรับตัวขึ้น อาทิ TMB, BJC, IVL, KTB, PTTEP, EA, SCCC, AOT, CPALL, SCB, BLA, BBL, KBANK, TCAP, BEM, CPN, MINT, TISCO, TU และ BDMS

ขณะที่ราคาหุ้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ RATCH

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราคาหุ้นขนาดใหญ่จะมีการปรับตัวลงมากกว่าปรับตัวขึ้น แต่เป็นเพียงการเทขายทำกำไรหลังจากที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาเยอะ

ทั้งนี้อาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการที่จะเข้าไปเล่นหุ้นขนาดใหญ่ในช่วงต่อไป เพราะจะได้ของถูก และสิ่งสำคัญหุ้นขนาดใหญ่มักฟื้นตัวเร็ว!!

Back to top button