พาราสาวะถี

เพราะต้นทุนโดยภาพรวมของคสช.มาถึงตอนนี้ต้องยอมรับว่าถูกใช้ไปหมดหน้าตักแล้ว เหตุที่กล้าพูดเช่นนั้น เนื่องมาจากการประกาศของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่พูดกับประชาชนระหว่างไปประชุมครม.สัญจรที่จันทบุรีว่า “หากรักนายกฯขอให้รักรัฐบาลทั้งหมดเพราะไม่สามารถทำงานคนเดียวได้” หรือ “หากรักนายกฯต้องรักรองนายกฯ(ประวิตร)ด้วย” เป็นภาพสะท้อนภาวะกองหนุนหายได้เป็นอย่างดี


อรชุน

เพราะต้นทุนโดยภาพรวมของคสช.มาถึงตอนนี้ต้องยอมรับว่าถูกใช้ไปหมดหน้าตักแล้ว เหตุที่กล้าพูดเช่นนั้น เนื่องมาจากการประกาศของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่พูดกับประชาชนระหว่างไปประชุมครม.สัญจรที่จันทบุรีว่า “หากรักนายกฯขอให้รักรัฐบาลทั้งหมดเพราะไม่สามารถทำงานคนเดียวได้” หรือ “หากรักนายกฯต้องรักรองนายกฯ(ประวิตร)ด้วย” เป็นภาพสะท้อนภาวะกองหนุนหายได้เป็นอย่างดี

ท่าทีเช่นนี้ของบิ๊กตู่ไม่ได้เพียงแค่ถูกมองว่าพยายามเดินสายหาเสียงหรือสร้างคะแนนนิยมให้กับรัฐบาลคสช. ก่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเท่านั้น แต่การพูดในลักษณะเช่นนี้ ยังเป็นการยืนยันความมั่นคงในตำแหน่งรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของบิ๊กป้อมได้เป็นอย่างดีด้วย หมายความว่า น้องเล็กเลือกพี่ใหญ่มากกว่าที่จะไปสนใจเสียงนกเสียงกา หรือบรรดาความเคลื่อนไหวกดดันผ่านทางโซเซียลมีเดีย

ด้วยเหตุนี้จึงมีคำพูดฝากมาจาก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงท่านผู้นำต่อการตัดสินใจแบบนี้ว่า ต้องรับผิดชอบต่อผลที่จะตามมาจากการตัดสินใจของตนเอง เพราะหากไม่มีการคลี่คลายสถานการณ์ที่สังคมตั้งคำถามเกี่ยวกับกรณีของพลเอกประวิตร ก็จะเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน แต่เมื่อใช้ดุลพินิจไปแล้วก็ต้องรับผิดชอบกับการตัดสินใจที่เกิดขึ้น

แน่นอนว่า หากเป็นก่อนหน้านั้นคำเตือนของอดีตนายกฯที่ไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหารคงพอจะสะกิดให้ท่านผู้นำหันกลับมาพิจารณาได้บ้าง แต่มายามนี้ในสถานการณ์ที่ผู้มีอำนาจมองไปข้างหน้าเพื่อการอยู่ยาว ใครที่ถือว่าเป็นคู่แข่งและเป็นอุปสรรคต่อการสืบทอดอำนาจ ย่อมไม่ได้อยู่ในสายตา มิหนำซ้ำ ยังต้องหาทางตีกันให้พ้นไปจากเส้นทางการแข่งขันด้วย

กระบวนท่าที่ผู้มีอำนาจได้เผยไต๋ให้กันมาโดยตลอดนั้น สร้างความไม่ไว้วางใจให้กับฝ่ายการเมืองโดยเฉพาะพวกที่ไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับผลกระทบจากการรัฐประหารครั้งนี้อย่างพรรคประชาธิปัตย์อย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการแสดงตัวแสดงความเห็นกระหน่ำเข้าใส่รัฐบาลคสช.อย่างไม่ไว้หน้า ยิ่งหลังการยืดอายุการใช้กฎหมายเลือกตั้งส.ส.ออกไป 90 วัน ยิ่งเห็นท่วงทำนองผิดหวังของคนพรรคเก่าแก่ได้เด่นชัด

ล่าสุด อภิสิทธิ์ให้ความเห็นต่อประเด็นการพิจารณาร่างกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว. ที่คงหนีไม่พ้นต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย เนื่องจากมีข้อทักท้วงมาจากทั้งกรธ.และกกต. โดยในส่วนของกรธ.นั้นเห็นได้ชัดเจนว่า มีประเด็นเรื่องข้อกังวลการปรับแก้ของสนช.ในหลายเรื่องส่อว่าจะขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ

เมื่อเป็นเช่นนั้น หัวหน้าพรรคเก่าแก่จึงมองว่า ปลายทางของร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ ยังมีความไม่แน่นอน และไม่รู้ว่าจะมีความพยายามใช้เทคนิคใดเพื่อยืดเวลาเลือกตั้งหรือไม่ เพราะหัวหน้าคสช.สามารถใช้อำนาจตามมาตรา 44 ได้ตลอดเวลา ดูได้จากการออกคำสั่งหัวหน้าคสช.ในการแก้ไขกฎหมายพรรคการเมือง ซึ่งทุกอย่างจะมีความแน่นอนได้ ก็ต่อเมื่อหัวหน้าคสช.พูดให้ชัดเจนว่ามีความประสงค์อย่างไร และยืนยันว่าจะทำให้ได้ตามอำนาจพิเศษที่มีอยู่

โฟกัสได้ตรงจุดที่สุดก็คือ หากมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากนั้น หัวหน้าคสช.ต้องมีเหตุผลอธิบายต่อสังคม จะโยนให้เป็นเรื่องของสนช.ไม่ได้ เนื่องจากหากสนช. ทำออกมาแล้ว หัวหน้าคสช.ไม่เห็นด้วยก็มีอำนาจที่จะแก้ไขได้อยู่แล้ว จากเดิมที่เคยขี่ม้าเลียบค่ายไม่วิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจโดยตรง แต่มาเวลานี้อภิสิทธิ์เลือกที่จะกระแทกหมัดตรงถึงบิ๊กตู่ ย่อมเป็นสัญญาณที่ไม่ธรรมดา

สำหรับกระแสกดดันให้บิ๊กป้อมลาออกซึ่งไม่เกิดขึ้นชัวร์ มิหนำซ้ำ ยังได้รับการปกป้องอย่างแข็งขันจากน้องตู่ และดูเหมือนว่าตอนนี้มีข่าวใหญ่ที่จะมาช่วยทำให้กระแสเรียกร้องลาออกซาไปบ้างคงเป็นกรณี เปรมชัย กรรณสูต ที่ถูกจับจากการไปล่าสัตว์ที่ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร เพราะดูเหมือนท่านผู้นำจะให้น้ำหนักและเล่นกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ

เห็นได้จากบทสัมภาษณ์วันวานที่บิ๊กตู่ออกอาการขึงขัง เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินคดีไปตามกฎหมาย ตามกระบวนการยุติธรรม พร้อมบอกนักข่าวอย่าไปเขียนให้เลอะเทอะ ใครกล้าช่วยเหลือก็ตามใจ ต้องถูกลงโทษทั้งหมด ช่วยกันไม่ได้ ผิดก็คือผิด จะใหญ่แค่ไหนมันก็คือผิด ถ้าพิสูจน์ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบตามหลักฐาน

งานนี้นอกจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องกับการทำคดีนี้จะสบายใจ ดูท่าว่านักธุรกิจใหญ่ลุยป่าล่าสัตว์น่าจะกลายมาเป็นผู้เล่นในเกมชิงพื้นที่สื่อของฝ่ายผู้มีอำนาจด้วยอีกต่างหาก การที่ผู้คนให้ความสนใจต่อเรื่องนี้อย่างกว้างขวางและรอการพิสูจน์ความตรงไปตรงมาในการทำงาน การให้สัมภาษณ์สำทับหรือแสดงจุดยืนต่อกระบวนการอันโปร่งใส ตรงไปตรงมาของท่านผู้นำและคนกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างบิ๊กป้อม ย่อมมีโอกาสที่จะช่วยทำให้คะแนนตีบวกกลับมาได้บ้าง

ทว่าอีกด้านการดำเนินคดีกับกลุ่มเอ็มบีเค 39 หรือกลุ่มประชาชนผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาจากกรณีการร่วมกิจกรรมนัดรวมพล ประชาชนอยากเลือกตั้ง แสดงพลังต้านสืบทอดอำนาจคสช. เมื่อวันที่ 27 มกราคมที่สกายวอล์ก แยกปทุมวัน วานนี้ผู้ถูกกล่าวหา 34 คนได้เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ท่ามกลางความกังขาของบางราย เช่น “บก.ลายจุด” สมบัติ บุญงามอนงค์ เนติวิทย์ โชติภัทรไพศาล ว่าถูกตั้งข้อหายุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ได้อย่างไร

ทั้งคู่บอกว่าไม่ได้ปราศรัยใดๆ และไม่ได้เป็นแกนนำ คงต้องชื่นชมฝ่ายตำรวจที่ทำคดีนี้อย่างแข็งขันและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดโดยจัดข้อหาให้หลายกระทง (ผิดกับกลุ่มที่ให้กำลังใจประวิตร) สถานการณ์เช่นนี้มันผิดกับสิ่งที่ท่านผู้นำเที่ยวไปพูดกับประชาชนเวลาเดินสายหาเสียงผ่านการประชุมครม.สัญจรในจังหวัดต่างๆ วาดหวังให้ประชาชนเสียสวยหรู ดูเหมือนว่าจะมีอิสระเสรี

แต่ในทางตรงข้าม กลับพบว่าประชาชนส่วนหนึ่งที่เคลื่อนไหวเพื่อยืนยันในสิทธิเสรีภาพของการแสดงความคิดเห็น การเรียกร้องประชาธิปไตย การชุมนุมอย่างสงบ และการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในความเป็นไปของบ้านเมืองว่าเป็นสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนไทยทุกคนถูกดำเนินคดี ด้วยข้อหากระทบความมั่นคง (ของผู้มีอำนาจ) เป็นแบบนี้ทางที่ดีไม่ควรพูดถึงประชาธิปไตยไทยนิยม แต่น่าจะบอกประชาชนไปว่า ใครนิยมเผด็จการยกมือขึ้นเสียมากกว่า

Back to top button