ฤาจะเป็น “Hostile Takeover” หุ้น MK ?

ชักจะน่าติดตามไปดูมากขึ้นทุกที กรณีบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI ของ “ประทีป ตั้งมติธรรม” ส่งบริษัทย่อยเข้าทำคำเสนอซื้อ หรือ “เทนเดอร์ ออฟเฟอร์” หุ้นทั้งหมดของ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีเป็นของพี่ชายแท้ ๆ คือ “ชวน ตั้งมติธรรม”


แฉทุกวันทันเกมหุ้น

ชักจะน่าติดตามไปดูมากขึ้นทุกที กรณีบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI ของ “ประทีป ตั้งมติธรรม” ส่งบริษัทย่อยเข้าทำคำเสนอซื้อ หรือ “เทนเดอร์ ออฟเฟอร์” หุ้นทั้งหมดของ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีเป็นของพี่ชายแท้ ๆ คือ “ชวน ตั้งมติธรรม”

ไม่ต้องสงสัย เพราะการประกาศเทนเดอร์ครั้งนี้ชัดเจนว่า เป็นการแสดงเจตนาในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ ฉะนั้นจึงเกิดการตั้งคำถามต่อไปว่า เหตุใดศุภาลัย หรือเอาให้ชัดคือคุณประทีป ถึงอยากซื้อบริษัทที่พี่ชายตัวเองขายให้คนนอกสายเลือดไปแล้ว กลับมาเป็นสมบัติใต้ร่มเงาของตระกูล “ตั้งมติธรรม” อีกครั้ง?

ย้อนความกลับไป เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2558 ถือเป็นช่วงที่มีกระแสฮือฮาเกิดขึ้นไม่เฉพาะแต่ในวงการอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่ยังเรียกความสนใจจากผู้คนในแวดวงตลาดทุนอีกจำนวนมากโข เมื่อมืออสังหาฯ เก๋ากึ๊กอย่างคุณชวนประกาศขายหุ้น MK ที่ตนและครอบครัวถืออยู่ส่วนใหญ่ราว 21% ให้กับมือการเงินเก๋ากึ๊กอย่าง “สุเทพ วงศ์วรเศรษฐ”

แน่นอนมีการตั้งคำถามเกิดขึ้นตามมามากมาย แต่ในท้ายที่สุดดูเหมือนกระแสแห่งความสงสัยก็เริ่มจางหายไปด้วยเหตุผลอันสุดแสนคลาสสิก ทำนองว่า “คุณชวนอายุมาก ทำธุรกิจอสังหาฯ มาเกินครึ่งชีวิตแล้ว จึงอยากวางมือสักที” ซึ่งด้วยเหตุผลประการฉะนี้ ก็ทำให้เสียงร่ำลือต่าง ๆ แทบจะหายไปโดยปริยาย…จนกระทั่ง!!…!!…

ฟากฝั่งของผู้เป็นน้อง คือ คุณประทีป เริ่มมีการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ โดยมีการทยอยซื้อหุ้น MK อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2560 ซึ่งจากเดิมถืออยู่ในสัดส่วนไม่ถึง 5% จนกลายมาเป็น 10% ในช่วงต้นปีนี้ (2561) และกว่า 11% ในปัจจุบัน

ขณะที่ การเคลื่อนไหวครั้งล่าสุด เกิดขึ้นเมื่อ บริษัท ศุภาลัย พรอพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ SPM ในเครือของ SPALI ประกาศทำเทนเดอร์ฯ หุ้น MK เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ซึ่งเรื่องนี้หากมองดูผิวเผิน ชนิดชั้นเดียวเชิงเดียว ก็คงไม่มีประเด็นอะไรให้ต้องคิดมากต่อไป

ทว่า กลับมีความเคลื่อนไหวของผู้ถือหุ้นใหญ่อีกกลุ่ม คือ “กลุ่มฟินันซ่า” ซึ่งเป็นที่น่าสนใจว่าจะเป็นสมัครพรรคพวกเดียวกันกับคุณสุเทพหรือไม่ อันประกอบด้วย บริษัท ฟินันซ่า จำกัด (มหาชน), บริษัท ซีพีดี โฮลดิ้ง จำกัด และนายฟิลิป วีระ บุนนาค

โดย 2 ใน 3 รายดังกล่าว คือ “ฟินันซ่า” และ “นายฟิลิป” ได้เข้ามาซื้อหุ้น MK เพิ่มขึ้นอีก 0.32% และ 2.45% จนสัดส่วนขยับขึ้นมาเป็น 10.10% และ 6.23% ตามลำดับ และเป็นการทำรายการในวันเดียวกับที่ SPM ประกาศจุดยืนเตรียมเข้าครอบงำกิจการ

ฉะนั้น วันนี้คงต้องตั้งเป็นข้อสังเกตไว้ก่อนว่า “กลุ่มศุภาลัย” และ “กลุ่มฟินันซ่า” ร่วมถือหุ้น MK กันแบบ ฉันมิตร หรือ ปฏิปักษ์ บนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วว่า ผู้เป็นพี่คือคุณชวน เคยขายหุ้นให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่น้องชายตน และวันนี้ผู้เป็นน้องต้องมาไล่ซื้อคืนในนามส่วนตัว รวมถึงตั้งโต๊ะรับซื้อในนามบริษัท

กรณีที่เกิดขึ้นนี้ถือว่ามีความน่าสนใจ และมีความคล้ายคลึงกับกรณีของบริษัทอสังหาฯ ชื่อสูงศักดิ์แห่งหนึ่ง ที่เคยเกิดเหตุในลักษณะเดียวกันมาแล้วในช่วงปี 2556 ซึ่งตอนนั้นมีกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ 2 ฝั่ง ไล่ตะบี้ตะบันซื้อหุ้นกันหูดับตับไหม้ เพื่อให้ได้สิทธิและเสียงเด็ดขาดในการเข้าครอบครองกิจการนั่นเอง

โดยสิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือ ราคาหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าใครมีหุ้นตัวนี้อยู่วันนั้น ถือว่าถูกหวยอย่างไรอย่างนั้นก็ว่าได้ และก็ไม่ต้องไปคิดตามให้วุ่นวายด้วยว่า ใครจะได้บริษัทไปครอบครองในท้ายที่สุด เพราะใครซื้อไม่สำคัญ สำคัญเพียงว่าใจถึงพึ่งได้ และกล้าเกทับบลั๊ฟแหลกกันถึงไหน เท่านั้นเอง

ส่วนกรณีนี้ ราคาหุ้น MK ปรับตัวขึ้นมาตอบรับกับราคาเทนเดอร์ฯ ที่ 4.10 บาทไปแล้ว นับแต่วันลั่นกลอง (รบ) ทว่าหลังจากราคานิ่งอยู่ที่ระดับดังกล่าวมาได้ 5-6 วันทำการ ก็เริ่มมีการเข้ามาไล่ซื้อกันอีกระลอก จนราคาดีดตัวสูงขึ้นมาเล่นกันที่ระดับ 4.60-4.70 บาท

ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องน่าสนใจที่งานนี้ อาจมีใครจับสัญญาณออกว่าจะมีการสู้ราคากันเพื่อช่วงชิงอำนาจเบ็ดเสร็จในบริษัทอสังหาฯ เก่าแก่แห่งนี้ ก็เป็นได้

ขณะเดียวกัน ยังถือเป็นที่น่าจับตามองมากยิ่งขึ้นด้วย เมื่อศุภาลัยแสดงตัวชัดเจนแล้วว่ามีกระสุนพร้อมสรรพทั้งจากเงินเพิ่มทุนผ่านวอร์แรนต์ และเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ดังนั้นจึงสามารถต่อกรได้ทุกเมื่อ กับทุกฝ่าย หากจำเป็น

เรื่องปัจจัยพื้นฐานหุ้น MK คงยังไม่ต้องพูดถึงกันในวันนี้ เอาเป็นว่าหากทฤษฎี “การเข้าซื้อกิจการแบบปฏิปักษ์” เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงขึ้นมาแล้วล่ะก็…คงพูดได้คำเดียวว่า มันนี่เกมยาวไป ยาวไป และยาวไป…

อิ อิ อิ

Back to top button