มายาข่าวดี

จันทร์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ปิดพุ่ง 329.74 จุด ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 เดือน ชนิดหมางเมินคำเตือนนักวิเคราะห์ที่บอกว่าเข้าเขตซื้อมากเกินแล้ว


พลวัตปี 2019 : วิษณุ โชลิตกุล

จันทร์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ปิดพุ่ง 329.74 จุด ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 เดือน ชนิดหมางเมินคำเตือนนักวิเคราะห์ที่บอกว่าเข้าเขตซื้อมากเกินแล้ว

การปิดพุ่งขึ้น เนื่องจากข้อมูลภาคการผลิตที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ และจีนช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ การดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ยังเป็นปัจจัยหนุนหุ้นกลุ่มธนาคาร ขณะที่หุ้นกลุ่มรถยนต์พุ่งขึ้นขานรับข่าวจีนขยายเวลาการระงับเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์เพิ่มเติมจากสหรัฐฯ

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคัก หลังจากมีการเปิดเผยข้อมูลภาคการผลิตที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ และจีน โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีน ซึ่งมาร์กิตจัดทำร่วมกับไฉซิน อยู่ที่ระดับ 50.8 ในเดือน มี.ค. เพิ่มขึ้นจากระดับ 49.9 ในเดือน ก.พ. ซึ่งเป็นการดีดตัวขึ้นหลังจากที่หดตัวติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน

ขณะที่ผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐฯ (ISM) ระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐฯ ดีดตัวสู่ระดับ 55.3 ในเดือน มี.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 54.5 หลังจากแตะระดับ 54.2 ในเดือน ก.พ.

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงหนุนจากความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า เขาและนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้เสร็จสิ้นการเจรจาการค้ากับจีนแล้ว และการหารือซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 28-29 มี.ค.ที่ผ่านมานั้น เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ขณะที่นายหลิว เหอ และคณะ จะเดินทางไปยังกรุงวอชิงตันในสัปดาห์แรกของเดือน เม.ย. เพื่อหารือกับคณะเจรจาการค้าของสหรัฐฯ

ข่าวดีจากนิวยอร์ก ส่งอิทธิพลให้ตลาดหุ้นเกือบทั่วเอเชียบวกตามไปด้วย รวมทั้งตลาดหุ้นไทย แต่ที่น่าสนใจของตลาดหุ้นไทยเกิดตรงที่หุ้นที่ดันดัชนีบวกยังคงเป็นหุ้นใหญ่ที่กระจุกตัว ไม่ส่งมายังหุ้นขนาดเล็กและกลางมากนัก ทำให้การวิ่งมีขีดจำกัด

คำอธิบายของนักวิเคราะห์จึงเป็นการ ขายของเก่า เสียมากกว่า ซึ่งเข้าใจกันได้ เพราะตัวแปรเชิงลบ ยังมีอยู่ไม่น้อยในตลาดหุ้นไทย ที่ทำให้โอกาสที่ข่าวดีสามารถเป็นมายาได้ไม่ยากเย็น

นอกเหนือจากปัจจัยทางเทคนิคของดัชนี SET แล้ว พื้นฐานของเศรษฐกิจไทยเองก็ยังน่าเป็นกังวลไม่น้อย เมื่อล่าสุด สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก ได้ทำการปรับลดคาดการณ์การส่งออกของไทยในปีนี้ เหลือโตต่ำกว่า 5% บนสมมติฐาน ค่าเงินบาทที่ 33.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ (+/- 50 สต.)

หมายความว่ามีโอกาสที่จะต่ำกว่าได้ ถ้าบาทเฉลี่ยแข็งกว่านี้

มุมมองเกิดจากความเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการส่งออก คือ 1. บรรยากาศการค้าโลก ทั้งกรณีการเจรจาข้อตกลงที่อังกฤษจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ที่ยังไม่มีความชัดเจน, ตลาดส่งออกสำคัญของไทยเจอกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ ตลาดญี่ปุ่นและยุโรปยังติดลบ จากผลกระทบของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว 2. มาตรการกีดกันทางการค้าต่าง ๆ จากต่างประเทศ

นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒนพงศ์ ประธานสภาผู้ส่งออก กล่าวยอมรับทั้งที่เวลาผ่านมาแค่ไตรมาสเดียวว่า หมดหวังที่จะได้เห็นยอดส่งออกของไทยในปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เนื่องจากมีปัจจัยลบจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดย สรท.หวังว่ารัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้งจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศให้ฟื้นตัว

ทั้งนี้ การส่งออกเดือนกุมภาพันธ์ 2562 มีมูลค่า 21,553.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 5.9% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออกในรูปเงินบาทเท่ากับ 678,509.1 ล้านบาท ขยายตัว 5.5% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน (YoY)

ในขณะที่การนำเข้าในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 มีมูลค่า 17,519.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว -10.0% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน และการนำเข้าในรูปของเงินบาทมีมูลค่า 558,778.0 ล้านบาท หดตัว -10.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน (YoY) ส่งผลให้ เดือนกุมภาพันธ์ 2562 ประเทศไทยเกินดุลการค้า 4,034.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 119,731.1 ล้านบาท

ในเดือนกุมภาพันธ์ การส่งออกกลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวที่ -0.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน (YoY) โดยสินค้าที่ยังขยายตัวอยู่คือกลุ่มผัก ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป และเครื่องดื่ม แต่สินค้ากลุ่มที่หดตัวคือ ข้าวและยางพารา ขณะที่กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 7.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน (YoY) โดยกลุ่มสินค้าที่มีการขยายตัว ได้แก่ ทองคำ เครื่องสำอาง สบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว รวมถึงเหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าที่หดตัวคือ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับไม่รวมทองคำ ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องจากการส่งออกอาวุธจำนวนมากที่เป็นเพียงผลในระยะสั้นเท่านั้น

นางสาวกัณญภัค กล่าวว่า หากดูตัวเลขส่งออกอย่างเจาะลึกลงไปแล้วเป็นเรื่องส่งกลับอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพสหรัฐฯ ที่มาร่วมฝึกคอบบร้าโกลด์ เมื่อหักส่วนนี้ออกไปแล้วการส่งออกเดือนกุมภาพันธ์จะหดตัวติดลบมากถึง 4.9%

ถึงตรงนี้แล้วแสนจะหดหู่กับเกมตัวเลขของทีมงานเศรษฐกิจรัฐบาล ที่รวมเอาตัวเลขจอมปลอมของ คอบร้าโกลด์ เข้าไปด้วยแบบสิ้นคิด

สภาผู้ส่งออก ยังมีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลใหม่ โดยขอให้เร่งจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพทางการเมือง และสนับสนุนภาคการค้าระหว่างประเทศ เช่น ขอให้สนับสนุนการเจรจาความตกลงการค้าเสรี FTA ให้ได้มากที่สุด เช่น FTA ไทย-อียู (อังกฤษ) ไทย-ปากีสถาน RCEP และ CPTPP เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมองว่านโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแบบก้าวกระโดด ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการทั้งภาคการผลิต และภาคบริการ ดังนั้นจึงขอให้รัฐบาลใหม่พิจารณาปรับขึ้นค่าแรงอย่างค่อยเป็นค่อยไป และควรพิจารณาถึงขีดความสามารถของอุตสาหกรรม และกลุ่มแรงงานที่มีทักษะที่แท้จริง

นายชัยชาญ เจริญสุข เลขาธิการ สภาผู้ส่งออก คาดว่า ภาวะการส่งออกในเดือนมีนาคม ถ้าหักเรื่องการส่งอาวุธสงครามออกไปแล้วจะขยายตัวติดลบ 4-5% ส่งผลให้การส่งออกในไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ -1 ถึง 0%

นักลงทุนไทย อย่าเพลินกับดาวโจนส์มากเกินจนลืมดาวโจรในประเทศ

Back to top button