พาราสาวะถี

อารมณ์ขันรับอรุณวันประชุมครม. พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ตอบคำถามนักข่าวเรื่องนักเรียนชูสามนิ้วในโรงเรียนบอกเป็นเพียงสัญลักษณ์ของลูกเสือ ในทางกลับกันต้องย้อนไปดูสีหน้าแววตาของน้องเล็ก ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ มันตรงข้ามกับพี่ใหญ่อย่างสิ้นเชิง ออกอาการเครียดหนักตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา ไม่รู้สาเหตุมาจากเห็นม็อบมากันจำนวนมาก หรือเพราะถูกอดีตอธิบดีอัยการขับรถไล่จี้ขบวนแล้วบีบแตรไล่หรือไม่


อรชุน

อารมณ์ขันรับอรุณวันประชุมครม. พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ตอบคำถามนักข่าวเรื่องนักเรียนชูสามนิ้วในโรงเรียนบอกเป็นเพียงสัญลักษณ์ของลูกเสือ ในทางกลับกันต้องย้อนไปดูสีหน้าแววตาของน้องเล็ก ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ มันตรงข้ามกับพี่ใหญ่อย่างสิ้นเชิง ออกอาการเครียดหนักตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา ไม่รู้สาเหตุมาจากเห็นม็อบมากันจำนวนมาก หรือเพราะถูกอดีตอธิบดีอัยการขับรถไล่จี้ขบวนแล้วบีบแตรไล่หรือไม่

สุดท้าย กรณีหลังจะบอกว่าไม่มีประเด็นดราม่าคงไม่ได้ แม้อดีตอธิบดีอัยการคนดังกล่าว จะออกมาระบุว่า ที่บีบแตรใส่ขบวนของท่านผู้นำไม่ใช่ไม่พอใจนายกฯ หรือเป็นประเด็นทางการเมือง แต่ความจริงแล้วอารมณ์เสีย เพราะถูกรถจักรยานยนต์ทหารที่มานำขบวนขับปาดหน้าซึ่งอยู่ในลักษณะที่ไม่น่าจะปลอดภัยมากกว่า โดยที่เจ้าตัวก็อธิบายต่อว่า “ผมไม่โทษนายกฯ หรอก พวกรักษาความปลอดภัยมันทำเกินไป” ตรงนี้แหละที่ต้องขีดเส้นใต้

ขนาดคนที่เป็นข้าราชการระดับสูง ยังมองเห็นความเดือดร้อนและไม่ปลอดภัยจากขบวนของคนที่เป็นผู้นำ ที่เป็นเรื่องถกเถียงกันอยู่ในสังคมกันได้ตลอดเวลา มันเร่งรีบ จำเป็นเร่งด่วนถึงขั้นที่จะต้องปาดซ้ายปาดขวา โดยไม่คำนึงถึงว่าใครจะขับรถมาในลักษณะใดหรือไม่ ด้วยเหตุนี้วิธีการแก้ปัญหาจราจรมันจึงมองไม่เห็นความเป็นจริง ในขณะที่คนอื่นรถติดแหงก แต่ท่านผู้นำหรือบรรดาอภิสิทธิ์ชนในรัฐนาวาต่างมีรถนำแหวกทางกันสบายใจเฉิบ

ถือเป็นปัญหาขี้เล็บ แต่ถูกหยิบยกขึ้นมาตีเมื่อไหร่ ยิ่งในภาวะที่ความเชื่อมั่นถดถอย ยิ่งทำให้เกิดแนวร่วมทางสังคมที่มองไปยังผู้มีอำนาจด้วยสายตาไม่พอใจหนักเข้าไปอีก อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่อดีตอธิบดีอัยการรายนี้ ตั้งข้อสังเกตอีกประการ ถ้าสันติบาลเป็นคนให้ข่าวว่าตนบีบแตรเพราะเกี่ยวกับเรื่องทางการเมืองควรต้องปรับปรุงการทำงานกันใหม่ ไปให้ข่าวในลักษณะนี้ได้อย่างไร ไม่รู้ว่าท่านลืมไปหรือเปล่า ยุคของเจ้าขุนมูลนายข้อมูลที่ได้ต้องเน้นสอพลอเป็นหลักข้อเท็จจริงไม่ต้อง

ขณะเดียวกันความบูดเบี้ยวด้านอารมณ์ของท่านผู้นำ ลามไปถึงเวทีที่ไปเป็นประธานในพิธีเปิดงานยกกำลังสองการศึกษาไทย สู่ความเป็นเลิศ และการแสดงวิสัยทัศน์การขับเคลื่อนการศึกษาไทย แทนที่จะได้ฟังทิศทาง นโยบายเกี่ยวกับการพัฒนาการศึกษาของประเทศ กลับเป็นเวทีระบายของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไปเสียฉิบ ทั้งการกล่าวหาสื่อมวลชนไม่ช่วยมิหนำซ้ำยังเน้นการนำเสนอข่าวที่สร้างความขัดแย้ง ส่วนการศึกษาไทยก็อย่าไปหวังว่าจะเป็นเหมือนประเทศฟินแลนด์

พูดถึงอย่างหลัง ท่านผู้นำอ้างว่าเป็นเหมือนอย่างเขายาก เพราะเวลานี้ประเทศไทยกำลังลำบาก เพราะหลายอย่างยังมีปัญหามาก ถ้าสามารถช่วยแก้ปัญหาช่วงนี้ไปก่อน ปัญหาอื่นยังไม่ใช่ความเป็นความตายของประเทศ ต้องแก้ปัญหาที่มีอยู่ให้ได้ก่อน อย่างอื่นค่อยแก้ไปตามระบบ ระเบียบ ขั้นตอน ก่อนจะย้ำว่าตนไม่ขัดแย้งกับใครทั้งสิ้น เป็นแผ่นเสียงตกร่องตามรอยประมุขฝ่ายนิติญัตติคนปัจจุบันที่สมัยเป็นผู้นำประเทศก็พูดจาวกวนซ้ำซากแต่เรื่องหลักการประเภทนี้

ความจริงหากไร้วิสัยทัศน์ก็ไม่ต้องนำเสนอก็ได้ พอพูดออกไปก็เข้าตัวไปเสียฉิบ เพราะมันสะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิดที่อ่านตามตำรา รู้ว่าโลกพัฒนาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แต่ความรู้ ความเข้าใจและการจะยกระดับให้ไปถึงจุดนั้นทำไม่ได้ ทำไม่เป็น มันจึงเป็นพวกเก่งทฤษฎีแต่ตกปฏิบัติ พูดได้แต่ทำงานไม่เป็น เช่นเดียวกับการมุ่งโจมตีสื่อว่านำเสนอแต่ปมขัดแย้ง โดยที่ลืมไปว่านี่คือสถานการณ์ของความเป็นจริง ผู้สื่อข่าวต้องรายงานไปตามสิ่งที่เห็นและเป็นไป

ในเมื่อเลือกที่จะสืบทอดอำนาจ การเป็นผู้นำที่ได้รับเสียงโหวตแม้จะเป็นแบบครึ่งบกครึ่งน้ำคือส.ส.เลือกตั้งส่วนหนึ่ง และส.ว.ลากตั้งทั้งหมด แต่ก็ถือได้ว่ามาตามกลไกของรัฐสภา ไม่ได้มาโดยอำนาจเผด็จการหรือปลายกระบอกปืน ดังนั้น แนวคิดเรื่องการนำเสนอข้อมูลของสื่อก็ไม่สมควรที่จะโจมตี วิพากษ์วิจารณ์กันได้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าในใจจริงนั้นท่านผู้นำคงอยากใช้กฎหมายปิดปากเสียให้รู้แล้วรู้รอด บังเอิญว่านี่มันไม่ใช่ยุคเผด็จการ จึงทำได้แค่กระแทกแดกดันเท่านั้น

ก็ไหนครั้งหนึ่งเคยยกโพยของสื่อบางสำนักมาอ้างว่าสนับสนุนท่านผู้นำ แล้วทำไมถึงออกมาตีโพยตีพายแบบนี้ นี่ย่อมเป็นภาพสะท้อนให้เห็นอีกด้านหนึ่งเหมือนกันว่า สื่อเลือกข้าง ประเภทคนที่ถูกยกหางก็รู้ว่าเป็นข้อมูลยกเมฆยังจะกล้านำมาสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง ความจริงสื่อที่แท้จริงไม่ได้มีปัญหาอะไร ใครทำดีย่อมยกย่องและนำเสนอผลงาน เมื่อไม่มีความสำเร็จเป็นที่ประจักษ์และมีกลุ่มคนออกมาเรียกร้องเคลื่อนไหว ทุกอย่างก็ต้องว่ากันไปตามสถานการณ์ โดยจรรยาบรรณไม่มีสื่อแท้ที่ไหนจะใส่สีตีไข่ลงไป

เหมือนอย่างกรณีของเด็กนักเรียนเคลื่อนไหวในโรงเรียน ขึ้นอยู่กับว่าผู้บริหารแต่ละแห่งจะใช้วิธีไหนในการแก้ไข บางแห่งก็ประกาศออกมาชัดเลยว่าห้ามเคลื่อนไหวเพราะไม่ใช่สถานที่ที่จะมาทำกิจกรรมทางการเมือง ขณะที่บางแห่งก็ใช้วิธียกเลิกการเข้าแถวหน้าเสาธง จะได้ไม่เห็นภาพบาดตาบาดใจทั้งชู 3 นิ้วและผูกโบว์สีขาว แต่นั่นมันก็เป็นแค่การแสดงให้ฝ่ายกุมอำนาจเห็นว่าไม่ได้ดูดายเท่านั้น ซึ่งมันไม่อาจหยุดการแสดงออกของเยาวชนที่รู้เท่าทันเหตุการณ์ต่าง ๆได้อยู่แล้ว

ล่าสุด กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติหรือยูนิเซฟ ได้ออกแถลงการณ์รู้สึกกังวลต่ออันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนท่ามกลางการชุมนุมที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โรงเรียนและสถาบันการศึกษาควรเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับเด็กในการแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ และมีการรับรู้รับฟัง โรงเรียนและสถาบันการศึกษาควรจัดให้มีพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและร่วมกันอภิปรายอย่างมีสาระ

สิ่งที่เหมือนเป็นการตบหน้าผู้มีอำนาจในประเทศไทยก็คือ แถลงการณ์ที่ระบุว่า การจัดพื้นที่สำหรับเด็กในการแสดงความเห็นนั้น จะช่วยให้เด็ก ๆ สามารถสร้างทักษะด้านการสื่อสารและการต่อรอง อันจะนำไปสู่แนวทางการจัดการอย่างสันติกับข้อท้าทายที่เด็ก ๆ กำลังเผชิญอยู่ ปัญหาอยู่ที่ว่าผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองใจกว้างพอที่จะรับฟัง แลกเปลี่ยนเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงที่ดีขึ้น หรือสร้างเรื่องหลอกเด็กว่าพร้อมเปิดเวทีรับฟัง แต่เป้าหมายเพียงแค่ซื้อเวลา เลี่ยงบาลีเพื่อให้ตัวเองได้อยู่ในตำแหน่งนานที่สุดเท่าที่จะนานได้เท่านั้น

Back to top button