ยังไม่เข็ดกับค่าโง่

ตัวเลขการฉีดวัคซีนโควิดสะสมตั้งแต่ 28 ก.พ.-22 มิ.ย. 2564 รวมทั้งสิ้น 8,148,335 โดส ครอบคลุมประชากรในราว 12.34% สิ้นเดือน มิ.ย.ที่ตั้งเป้าจะต้องฉีดให้ได้ 10 ล้านโดสนี้ จึงเหลือจะต้องฉีดเป็นจำนวน 1,851,665 โดส


ตัวเลขการฉีดวัคซีนโควิดสะสมตั้งแต่ 28 ก.พ.-22 มิ.ย. 2564 รวมทั้งสิ้น 8,148,335 โดส ครอบคลุมประชากรในราว 12.34% สิ้นเดือน มิ.ย.ที่ตั้งเป้าจะต้องฉีดให้ได้ 10 ล้านโดสนี้ จึงเหลือจะต้องฉีดเป็นจำนวน 1,851,665 โดส

เหลือเวลาอีก 8 วัน ฉะนั้นจะต้องฉีดให้ได้โดยเฉลี่ยวันละ 231,458 โดส ในขณะที่อัตราเฉลี่ยที่ผ่านมา ฉีดได้โดยเฉลี่ยวันละ 54,322 โดสเท่านั้น

สาเหตุหลักคือวัคซีนไม่พอ หรือจะกล่าวให้ถึงที่สุดก็คือ รัฐจัดหาวัคซีนเชื่องช้าไม่ทันการ

มองไปข้างหน้าอีก 6 เดือนที่เหลือ จะต้องฉีดวัคซีนให้ได้ 90 ล้านโดส หรือเฉลี่ยเดือนละ 15 ล้านโดส เพื่อให้ครบ 100 ล้านโดส และครอบคลุมประชากรร้อยละ 70 ก็ยังน่าสงสัยว่าจะไปถึงเป้าหมายได้ยังไง

วัคซีนทางเลือกก็ยังไม่มา วัคซีนเจ้าประจำก็เดี๋ยวมาเดี๋ยวไม่มา ระบบบริหารจัดการวัคซีน ยังคงชุลมุนวุ่นวายอย่างไร ก็ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น

ข่าวโควิดทั้งการระบาด การจัดหาวัคซีนและการกระจาย กลบข่าวบ้านเมืองมาตลอด 1 ปีครึ่ง จนทำให้ละลืมเรื่องความเสียหายของประเทศทั้งที่เกิดขึ้นแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว และกำลังจะเกิดกันต่อไป หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกวิธี

นั่นก็คือ เรื่อง “ค่าโง่”

เรื่องที่ “โง่” ไปแล้ว และก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ก็ได้แก่ ค่าโง่รถดับเพลิงกทม., ค่าโง่โฮปเวลล์ ที่แม้ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าสิ้นอายุความ แต่ศาลปกครองสูงสุดยังยืนยันคำวินิจฉัยเดิมให้การรถไฟฯ จ่ายค่าเสียหายแก่โฮปเวลล์,

เหมืองทองคำอัครา ที่ไม่รู้ว่าพล.อ.ประยุทธ์จะต้องชดใช้ค่าเสียหายจากการปิดเหมือง ด้วยทุนทรัพย์ตัวเองหรือเงินหลวง เพราะศาลฯ เคยวินิจฉัยว่า หัวหน้าคสช.ไม่ใช่เจ้าพนักงานแห่งรัฐ

และค่าโง่กองสลากฯ ที่ศาลปกครองสูงสุดตัดสินสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จ่ายค่าเสียหายและค่าปรับรวมทั้งดอกเบี้ยแก่บริษัทล็อกซเล่ย์ฯ เป็นจำนวนเงินประมาณ 3,000 ล้านบาท

เรื่องนี้ คลาสสิคมากครับ เพราะสำนักงานสลากฯ ผิดสัญญาการจัดทำหวย 2 ตัว 3 ตัวแบบออนไลน์แก่บริษัทล็อกซเล่ย์ จีเทค เทคโนโลยี ทางบริษัทก็พยายามประนีประนอมแล้วกับสำนักงานสลากฯ ให้กลับมาดำเนินการตามสัญญาต่อ

“หวยออนไลน์” ก็คือ “หวยบนดิน” ซึ่งมีธงการเมืองอยู่แล้วว่าจะให้เกิดไม่ได้ และเรื่องนี้ก็มีการฟ้องร้องคณะรัฐมนตรีชุดทักษิณติดคุกตะรางมาแล้ว

สำนักงานสลากฯ ก็แก้ปัญหาจำหน่ายสลากเกินราคาไม่ตกเสียที ขณะที่เจ้ามือหวยใต้ดินและ 5 เสือกองสลากฯ ก็  โตเอา ๆ สำนักงานสลากฯ ก็พยายามดิ้นรนแบบขำ ๆ เช่นคิดหวยนักกษัตริย์ขึ้นมา แต่ไม่มีใครเอาด้วย จนในที่สุดก็มีคำตัดสินเด็ดขาดออกมาจากศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว

ส่วนเรื่องนี้ กำลังจะกลายเป็น “อนาคตค่าโง่” อยู่รอมร่อ และคงจะต้องเป็นแน่ ๆ หากไม่มีการตัดสินใจอะไรเด็ดขาดออกมาจากนายกรัฐมนตรีพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นผู้ผูกเอง แต่ยังไม่ยอมแก้เสียที

นั่นก็คือ “อนาคตค่าโง่ BTS สายสีเขียว”

บมจ.BTS น่ะรับจ้างเดินรถในเส้นทางส่วนต่อขยายหมอชิต-คูคต และแบริ่ง-สมุทรปราการ โดย กทม.ไม่จ่ายสตางค์มา 3 ปีแล้ว จนบีทีเอสต้องทวงหนี้กลางอากาศกับ กทม.เป็นจำนวนเงิน 30,000 ล้านบาท

เรื่องนี้เป็นความอิหลักอิเหลื่อ เกี่ยวพันกับคำสั่ง คสช.ให้ กทม.รับโอนโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายมาจาก รฟม.ในมูลค่า 120,000 ล้านบาท

กทม.ก็พยายามแปลงเป็นสัมปทานกับบีทีเอส โดยให้บีทีเอสรับผิดชอบหนี้กับ รฟม.ไป และยอมรับการจัดเก็บค่าโดยสารตลอดสายในอัตรา 65 บาทไป

เรื่องทำท่าจะลื่นไหลดี แต่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เมื่อพรรคภูมิใจไทยเข้ามาบริหารงานกระทรวงคมนาคม รมว.ศักดิ์สยามขวางเต็มลำ โดยออกโรงคัดค้านทั้งในที่ลับและแจ้ง

“65 บาทแพงไป 25 บาทก็พอแล้ว มีกำไรเยอะแยะ” เสียงจากลิ่วล้อบริวารพรรคภูมิใจไทย

ดูไปแล้ว อัตราค่าโดยสารตลอดสายเช่นคูคต ปทุมธานีไปถึงสมุทรปราการ ก็ไม่น่าจะแพงอะไรนัก เพราะเป็นระยะทางที่ยาวมาก และผ่านเส้นทางที่การจราจรติดขัดเอามาก ๆ

หากใช้รถน่ะ 3 ชั่วโมงจะถึงจุดหมายปลายทางหรือเปล่า

นอกจากนี้ ในความเป็นจริง ใครมันจะใช้บริการตั้งแต่ต้นสายยันปลายสายกันมากมาย ถ้าไม่ใช่คนว่างงานก็คงจะเป็นพวกลองนั่งรถเล่น

จนบัดนี้นายกฯ ประยุทธ์ ก็ยังไม่กล้าตัดสินใจนำเรื่องเข้า ครม. ไม่รู้กลัวอะไรนักหนา สงสัยจะได้เห็น “ว่าที่ค่าโง่ BTS” เร็ววันนี้แน่

Back to top button