คัด 9 หุ้น ‘ยานยนต์’ กำไรสม่ำเสมอ! ชู SAT เด่นสุด

ในภาวะตลาดหุ้นผันผวน การลงทุนหุ้นพื้นฐานแกร่งเป็นหนึ่งทางเลือกของการลงทุน ครั้งนี้เป็นการคัดสรรจากหุ้นกลุ่มยานยนต์ที่กำไรสุทธิโตได้สม่ำเสมอ


เส้นทางนักลงทุน

จากกรณีภาวะตลาดหุ้นผันผวน การลงทุนในหุ้นพื้นฐานแกร่ง เป็นหนึ่งทางเลือกของการลงทุน ครั้งนี้เป็นการคัดสรรจากหุ้นกลุ่มยานยนต์ที่สามารถทำกำไรสุทธิโตได้สม่ำเสมอมา นับตั้งแต่ปี 2559 จนถึงครึ่งแรกปี 2564 เป็นต้นมา แม้ว่าบางปีจะมีกำไรลดลงบ้างแต่ถือว่ายังคงรักษากำไรได้ดีเยี่ยมถึงแม้จะมีแรงกดดันจากสถานการณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะจากปี 2563 จนถึงปัจจุบันเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กดดันก็ตาม

สำหรับบริษัทกลุ่มยานยนต์รักษากำไรโตสม่ำเสมอมา ได้แก่ SAT, STANLY, IRC, SPG, PCSGH, HFT, TSC, CWT และ ACG

บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SAT พบว่าผลประกอบการเติบโตสม่ำเสมอ โดยปี 2559 กำไรสุทธิ 607.56 ล้านบาท ต่อมาในปี 2560 กำไรสุทธิ 811.24 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2561 กำไรสุทธิ 915.60 ล้านบาท ส่วนในปี 2562 กำไรสุทธิ 894.64 ล้านบาท อีกทั้งในปี 2563 กำไรสุทธิ 374.76 ล้านบาท และครึ่งแรกของปี 2564 กำไรสุทธิ 557.89 ล้านบาท

บริษัท ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ STANLY พบว่าผลประกอบการเติบโตสม่ำเสมอ โดยปี 2559 กำไรสุทธิ 1,270.77 ล้านบาท ต่อมาในปี 2560 กำไรสุทธิ 1,658.66 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2561 กำไรสุทธิ 1,977.76 ล้านบาท ส่วนในปี 2562 กำไรสุทธิ 1,997.50 ล้านบาท อีกทั้งในปี 2563 กำไรสุทธิ 1,061.34 ล้านบาท และครึ่งแรกของปี 2564 กำไรสุทธิ 383.48 ล้านบาท

บริษัท อีโนเว รับเบอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ IRC พบว่าผลประกอบการเติบโตสม่ำเสมอ โดยปี 2559 กำไรสุทธิ 513.63 ล้านบาท ต่อมาในปี 2560 กำไรสุทธิ 424.63 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2561 กำไรสุทธิ 357.50 ล้านบาท ส่วนในปี 2562 กำไรสุทธิ 166.54 ล้านบาท อีกทั้งในปี 2563 กำไรสุทธิ 219.06 ล้านบาท และครึ่งแรกของปี 2564 กำไรสุทธิ 310.75 ล้านบาท

บริษัท สยามภัณฑ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SPG พบว่าผลประกอบการเติบโตสม่ำเสมอ โดยปี 2559 กำไรสุทธิ 564.14 ล้านบาท ต่อมาในปี 2560 กำไรสุทธิ 427.42 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2561 กำไรสุทธิ 379.13 ล้านบาท ส่วนในปี 2562 กำไรสุทธิ 306.52 ล้านบาท อีกทั้งในปี 2563 กำไรสุทธิ 372.86 ล้านบาท และครึ่งแรกของปี 2564 กำไรสุทธิ 297.76 ล้านบาท

บริษัท พี.ซี.เอส.แมชีน กรุ๊ปโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PCSGH พบว่าผลประกอบการเติบโตสม่ำเสมอ โดยปี 2559 กำไรสุทธิ 382.08 ล้านบาท ต่อมาในปี 2560 กำไรสุทธิ 641.45 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2561 กำไรสุทธิ 318.19 ล้านบาท ส่วนในปี 2562 กำไรสุทธิ 75.92 ล้านบาท อีกทั้งในปี 2563 กำไรสุทธิ 253.77 ล้านบาท และครึ่งแรกของปี 2564 กำไรสุทธิ 293.54 ล้านบาท

บริษัท ฮั้วฟง รับเบอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ HFT พบว่าผลประกอบการเติบโตสม่ำเสมอ โดยปี 2559 กำไรสุทธิ 337.76 ล้านบาท ต่อมาในปี 2560 กำไรสุทธิ 255.65 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2561 กำไรสุทธิ 223.71 ล้านบาท ส่วนในปี 2562 กำไรสุทธิ 278.84 ล้านบาท อีกทั้งในปี 2563 กำไรสุทธิ 412.62 ล้านบาท และครึ่งแรกของปี 2564 กำไรสุทธิ 259.34 ล้านบาท

บริษัท ไทยสตีลเคเบิล จำกัด (มหาชน) หรือ TSC พบว่าผลประกอบการเติบโตสม่ำเสมอ โดยปี 2559 กำไรสุทธิ 137.20 ล้านบาท ต่อมาในปี 2560 กำไรสุทธิ 163.95 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2561 กำไรสุทธิ 246.38 ล้านบาท ส่วนในปี 2562 กำไรสุทธิ 219.96 ล้านบาท อีกทั้งในปี 2563 กำไรสุทธิ 85.05 ล้านบาท และครึ่งแรกของปี 2564 กำไรสุทธิ 189.59 ล้านบาท

บริษัท ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CWT พบว่าผลประกอบการเติบโตสม่ำเสมอ โดยปี 2559 กำไรสุทธิ 43.60 ล้านบาท ต่อมาในปี 2560 กำไรสุทธิ 52.83 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2561 กำไรสุทธิ 74.16 ล้านบาท ส่วนในปี 2562 กำไรสุทธิ 105.26 ล้านบาท อีกทั้งในปี 2563 กำไรสุทธิ 117.03 ล้านบาท และครึ่งแรกของปี 2564 กำไรสุทธิ 95.07 ล้านบาท

บริษัท ออโตคอร์ป โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ ACG พบว่าผลประกอบการเติบโตสม่ำเสมอ โดยในปี 2560 กำไรสุทธิ 21.33 ล้านบาท ต่อมาในปี 2561 กำไรสุทธิ 16.90 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2562 กำไรสุทธิ 53.00 ล้านบาท ส่วนในปี 2563 กำไรสุทธิ 34.83 ล้านบาท และครึ่งแรกของปี 2564 กำไรสุทธิ 16.05 ล้านบาท

นอกจากนี้ จากข้อมูลข้างต้นเป็นการคัดผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มยานยนต์ที่สามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ แต่ส่วนจากกรณีดังกล่าวข้างต้นมองบริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SAT ยังเป็นดาวเด่นของกลุ่ม หลังจากไปสำรวจจากบทวิเคราะห์พบว่า บล.เคทีบีเอสที ยังมีมุมมองเป็นบวกต่อบริษัท โดยยังคงประเมินกำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 1.08 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 190% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรครึ่งแรกของปี 2564 คิดเป็น 52% จากทั้งปี

ส่วนไตรมาส 3 ปี 2564 และไตรมาส 4 ปี 2564 จะดีขึ้นจากไตรมาส 2 ปี 2564 อย่างต่อเนื่อง โดยยังคงประเมินยอดผลิตรถยนต์ปี 2564 ที่ 1.7 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 20% จากงวดเดียวกันของปีก่อน (ยอดผลิตรถยนต์ 7 เดือนแรกปี 2564 คิดเป็น 57% จากทั้งปี) ส่วนรายได้ของ SAT จะ ยังคงเติบโตได้ดีกว่าภาพรวมอุตสาหกรรม เนื่องจากได้รับคำสั่งซื้อใหม่เพิ่ม และธุรกิจชิ้นส่วนเครื่องจักรกลการเกษตรที่เติบโตโดดเด่น

ขณะที่ปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จะกระทบต่อยอดผลิตรถกระบะไม่มาก ซึ่งปัจจุบัน SAT มีรายได้จากชิ้นส่วนรถกระบะและเครื่องจักรกลการเกษตรราว 90% จากรายได้รวม ด้านราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้นจะกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นเล็กน้อย เนื่องจากยังได้รับชดเชยจากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น และจะทยอยปรับราคาขายขึ้น

ทั้งนี้ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ประเมินราคาเป้าหมาย 28.00 บาท โดยมีการประเมินจากกำไรปี 2564 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ โดยแนวโน้มผลการดำเนินงานจะยังคงดีกว่าภาพรวมอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง

ท้ายสุดแล้วพบว่าหุ้นกลุ่มยานยนต์ก็มีหลายตัวที่กำไรสุทธิเติบโตแกร่งสม่ำเสมอ

Back to top button