พาราสาวะถี

วันอังคารที่ผ่านมา เป็นการยื่นไมตรีให้พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. จากน้องเล็ก หลังจากได้ทำการตบหน้าพี่ฉาดใหญ่ด้วยการเฉดหัวสองรัฐมนตรีทิ้งโดยไม่บอกกล่าว


ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนกับกรณีที่ประชุมครม.เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา มีมติให้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เข้าไปกำกับดูแล 4 กรมในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ กรมพัฒนาที่ดิน กรมฝนหลวงและการบินเกษตร สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ที่เดิม ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ เป็นผู้ดูแลอยู่ นี่เป็นการยื่นไมตรีให้พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. จากน้องเล็ก หลังจากได้ทำการตบหน้าพี่ฉาดใหญ่ด้วยการเฉดหัวสองรัฐมนตรีทิ้งโดยไม่บอกกล่าว

คำถามก็คือ การกระทำในลักษณะเช่นนี้ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เป็นการใช้อำนาจโดยพลการ ไม่ปรึกษาหารือ และเป็นการไม่ให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีเลขาธิการพรรคคือ เฉลิมชัย ศรีอ่อน สั่งว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และมี จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคในฐานะรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้กำกับดูแลอีกทอดหนึ่ง ซึ่งนี่ไม่ใช่หนแรกที่มีการทำแบบนี้ ก่อนหน้านั้นก็เคยมีการเปลี่ยนรองนายกฯ ที่กำกับนโยบายประมงจากจุรินทร์ไปเป็นพลเอกประวิตรหนหนึ่งแล้ว

ขณะเดียวกันถ้าจำกันได้ ช่วงที่ธรรมนัสยังขึ้นหม้อในรัฐบาลผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ก็เคยออกคำสั่งให้เป็นรัฐมนตรีที่ไปดูแลจังหวัดใหญ่ในภาคใต้ คือ สงขลา นครศรีธรรมราช และภูเก็ต ทั้งที่เจ้าตัวเป็นส.ส.พะเยาะ และในการแบ่งงานก่อนหน้านี้ก็ดูแลพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือมาโดยตลอด จนคนของพรรคเก่าแก่ต้องออกมาตีโพยตีพาย สุดท้ายจึงมีการยอมใส่เกียร์ถอย ยกเลิกคำสั่งดังกล่าวไปดื้อ ๆ แต่หนนี้ไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง

ปุจฉาประการต่อมาก็คือ เมื่อเป็นการกระทำที่ไร้มารยาทเพื่อการเอาใจพี่ใหญ่และสยบรอยปริแยกของแก๊ง 3 ป. จากปมถอดสองรัฐมนตรี ทั้งที่รู้ว่าพรรคเก่าแก่ย่อมแสดงความไม่พอใจอย่างแน่นอน ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่กังวลถึงเสถียรภาพของรัฐบาลอย่างนั้นหรือ หรือนี่เป็นการส่งสัญญาณไปในตัว หากมีปัญหามากก็พร้อมที่จะยุบสภา ในทางตรงข้ามหากไม่ใช่ทุกกรณี เช่นนั้นแล้วจะมีการประสานความเข้าใจและทำอย่างไรเพื่อให้ฝ่ายถูกกระทำพึงพอใจ

ท่วงทำนองของคนประชาธิปัตย์เด่นชัดยิ่งว่าไม่พอใจ ไล่ตั้งแต่จุรินทร์ที่ให้ความเห็นตามสไตล์คือแสดงความเป็นผู้ดีไว้ก่อน แต่ก็บ่งบอกได้ถึงความขุ่นมัวที่มีอยู่ในใจ การบอกว่ารู้สึกเห็นใจพรรคพลังประชารัฐที่จะต้องแก้ปัญหาภายใน ซึ่งก็ได้ให้กำลังใจมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าการแก้ปัญหาก็ควรจะยุติ หรือเป็นการแก้ปัญหาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพรรคพลังประชารัฐ ไม่ควรที่จะไปกระทบถึงส่วนอื่น หรือพรรคการเมืองอื่น นั่นก็เป็นการส่งสัญญาณให้รับรู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นเรื่องการเมืองของพวกตัวเองไม่ควรกระทบพรรคอื่น

แน่นอนว่าในความเห็นของอู๊ดด้าก็ย้ำถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อการไม่ให้เกียรติกันเช่นนี้ แทนที่จะแก้ปัญหาทั้งหมดลุล่วงไปได้ ก็เลยกลายเป็นแก้ปัญหาหนึ่งอาจจะไปสร้างอีกปัญหาหนึ่งโดยไม่จำเป็น ซึ่งตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเด็ดขาดในการตัดสินใจของคนที่เป็นหัวหน้าพรรคว่าจะกล้าที่จะประกาศท่าทีอย่างหนึ่งอย่างใดให้ชัดเจน เพื่อเป็นการกดดันให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจหรือเครือข่ายที่เกี่ยวข้องรู้สึกเกรงอกเกรงใจกันหรือไม่ หรือแค่การเคาะกะลา

ขณะที่ท่าทีของแกนนำพรรคเก่าแก่ อลงกรณ์ พลบุตร ออกมาขู่ จะปล่อยเลยตามเลยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นคงไม่ได้ ก็ต้องพิจารณาว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไรหรือจะอยู่ร่วมกันต่อไปหรือไม่ ตนไม่อยากให้ถึงจุดนั้น เพราะบ้านเมืองกำลังเผชิญวิกฤตรอบด้าน จะทำให้การเมืองมีปัญหามาซ้ำเติมประเทศทำไม โดยเฉพาะเป็นปัญหาภายในพรรคแกนนำเองยิ่งไม่ควรมาสร้างปัญหากับพรรคร่วมรัฐบาล ดังนั้นนายกรัฐมนตรีควรรีบแก้ไขให้ถูกทำนองคลองธรรม ให้เกียรติกันและกันทุกอย่างก็จะคลี่คลาย

ไม่เพียงเท่านั้น หากพรรคเก่าแก่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็เท่ากับเป็นการเปิดทางให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้รุกคืบทางการเมืองที่ทั้งในส่วนอันเป็นประโยชน์ของพรรคสืบทอดอำนาจ หรือพรรคการเมืองใหม่ที่ถูกมองว่าตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับน้องเล็กกับพี่รองหากกรณีต้องแตกหักกับพรรคของพี่ใหญ่ ซึ่งหมายถึงว่าสนามการเลือกตั้งครั้งต่อไปวิธีลัดของขบวนการสืบทอดอำนาจที่ทำแล้วได้ผลในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาคือ ตกปลาในบ่อเพื่อน

ครั้งนั้น อาจจะมองว่าไม่ใช่แค่ประชาธิปัตย์แต่เพื่อไทยก็ถูกพลังดูดเล่นงานเหมือนกัน แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น พรรคเก่าแก่รับไปเต็ม ๆ เพราะพรรคนายใหญ่ยังคงรักษาฐานเสียงส่วนใหญ่ไว้ได้ และได้ชื่อว่าเป็นพรรคที่ชนะการเลือกตั้ง ขณะที่คู่แข่งในห้วงเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมากลับแพ้หลุดลุ่ย เสียเก้าอี้ส.ส.ในที่มั่นสำคัญทั้งภาคใต้และกทม. ถือเป็นบทเรียนอันเจ็บปวดอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ ราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคเก่าแก่จึงออกลูกขึงขังต่อเหตุการณ์ครั้งนี้

จะเห็นได้ว่าโฆษกพรรคเก่าแก่พุ่งเป้าไปที่พรรคสืบทอดอำนาจทันทีทันใด ด้วยการบอกว่าคำสั่งรวบงานดังกล่าว ส.ส.พลังประชารัฐยังออกมาพูดจาในลักษณะที่บิดเบี้ยวไปจากข้อเท็จจริง ที่บอกว่าต้องคำนึงถึงสภาพความเป็นจริงและความต้องการของประชาชนร่วมกันด้วย ถือเป็นการพูดที่ไม่สมเหตุสมผล พร้อมกับการตั้งคำถาม การรวบไป 4 กรมเพื่อประชาชนหรือเพื่อใคร หลักการบริหารราชการแผ่นดินให้กลับไปศึกษาให้ดี ความคิดของคนถ้าคิดดีทำดีไม่เป็นปัญหาแน่

แต่สำหรับคนทั่วไปก็ต้องตั้งคำถามกลับคืนไปยังพรรคเก่าแก่ว่าท่าทีที่แข็งกร้าวนั้นจะมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวเพื่อรักษาหลักการ จุดยืนของตัวเอง หรือท้ายที่สุดก็เลือกที่ผลประโยชน์แห่งอำนาจ บทสรุปที่ออกมาต่อกรณีนี้จะเป็นคำตอบ ขณะที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนอกจากการตามง้อขอคืนดีพี่ใหญ่แล้ว ต้องหันมาพิจารณาความนิยมในตัวเองด้วยว่ายังเหมือนเมื่อครั้งเข้ามาทำหน้าที่ในฐานะผู้นำเผด็จการที่ชื่อว่าหัวหน้าคสช.หรือไม่

การได้ยินเพียงแค่เสียงให้กำลังใจว่าลุงตู่สู้ ๆ โดยไม่แยแสกระแสเสียงที่บอกว่าออกไป ออกไป หรือ I here too นั้นเป็นเรื่องที่ต้องให้ความใส่ใจเป็นอย่างมาก เหมือนที่ วันชัย สอนศิริ ส.ว.ลากตั้งจากอำนาจผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ทั้งตั้งคำถามน่าสนใจ ไอโอที่ใช้สร้างคะแนนนิยมหรือโน้มน้าวให้ประชาชนไว้วางใจที่ว่า ความสงบจบที่ลุงตู่นั้นจริงหรือ ? หรือว่ากงกำกงเกวียนทางการเมืองกำลังกลับมา

Back to top button