พาราสาวะถี

เป็นไปตามความคาดหมายเรื่องโควิด-19 สายพันธุ์ย่อย BA.4-BA.5 ที่ทาง นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมการแพทย์ ตั้งโต๊ะแถลงข่าว


เป็นไปตามความคาดหมายเรื่องโควิด-19 สายพันธุ์ย่อย BA.4-BA.5 ที่ทาง นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมการแพทย์ ตั้งโต๊ะแถลงข่าว พบผู้ติดเชื้อในประเทศไทยแล้วเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ อีกไม่นานก็คาดว่าจะเข้ามาแทนที่ของสายพันธุ์ BA.2 ซึ่งก็ถือเป็นไปตามกลไกการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส แต่สิ่งที่ยังรอการยืนยันคือ ความรุนแรงของโรคนั้นเพิ่มขึ้นหรือไม่ เนื่องจากในส่วนของความรวดเร็วในการแพร่ระบาดนั้น พบว่าเร็วกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้าอยู่แล้ว

ขณะที่สายพันธุ์ BA.4-BA.5 กำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ก็ปรากฏข่าวเรื่องของการพบสายพันธุ์ BA.2.75 ในประเทศอินเดียเป็นส่วนใหญ่ และเริ่มพบในอีกหลายประเทศ ทั้งสหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา โดยทางอธิบดีกรมการแพทย์ยืนยันว่า ยังไม่พบสายพันธุ์นี้ในประเทศไทย เนื่องจากมีการส่งข้อมูลเข้าไปยัง GISIAD เพียง 60 ตัวอย่าง ต้องคอยดูกันต่อไป แต่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนไทยต่อการรับมือโควิดไม่ว่าจะมีสายพันธุ์ใดก็ตาม คือการป้องกันตัวเองขึ้นสูงสุดเมื่อต้องออกนอกบ้านนั่นเอง

การเมืองระหว่างรอศึกซักฟอก มีประเด็นร้อนคั่นเวลาก็คือการพิจารณาร่างกฎหมายลูก 2 ฉบับเพื่อให้สอดคล้องกับการเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปก่อนหน้า สิ่งที่รอดูบทสรุปกันอยู่เป็นเรื่องของสูตรคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ว่าจะหารกันด้วย 100 หรือ 500 หากว่ากันแบบไม่มีเกมลับ ลวง พราง ก็ต้องหารด้วย 100 แต่ถ้าพรรคสืบทอดอำนาจต้องการเอาใจพรรคเล็ก และไม่อยากให้เกิดปรากฏการณ์แลนด์สไลด์ก็จะจบที่หาร 500

ถือเป็นบทพิสูจน์ความจริงใจ เพราะถ้าต้องการที่จะให้การเลือกตั้งเป็นไปตามเจตนารมณ์ที่มีการแก้ไขให้เลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบก็ต้องหารด้วย 100 ซึ่งนั่นก็จะไปเข้าทางพรรคเพื่อไทย จนทำให้เกิดการได้คะแนนเสียงแบบถล่มทลาย เมื่อพิจารณาจากท่าทีของแกนนำพรรคสืบทอดอำนาจที่บอกว่าปล่อยให้ ส.ส.มีอิสระในการโหวตในเรื่องสูตรส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ก็พอที่จะเห็นทิศทาง แนวโน้มของบทสรุปแล้วว่าจะเป็นไปแบบไหน ในเมื่อต้องการที่จะหนุนคนอยู่ยาวก็จำเป็นจะต้องใช้วิธีที่ไม่เอื้อประโยชน์ให้พรรคคู่แข่ง

อย่างไรก็ตาม การจะอยู่ในตำแหน่งต่อไปของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจกับปมที่รัฐธรรมนูญ 2560 บัญญัติไว้ในมาตรา 158 ว่านายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งเกิน 8 ปีไม่ได้ ไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม แม้จะมีคำอธิบายมาจากเนติบริกรข้างกายอย่าง วิษณุ เครืองาม ที่อ้างว่า ระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะเริ่มนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2560 มีผลบังคับใช้ ก็หมายความว่า ช่วงที่เป็นนายกฯ พ่วงหัวโขนหัวหน้าเผด็จการ คสช.ไม่นับนั้น มันถูกต้องแล้วหรือ

หากพิจารณาจากเนื้อหาของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้มีการบิดเบี้ยวเกี่ยวกับวาระการดำรงตำแหน่งตามมาตรา 158 จึงมีการวางกรอบป้องกันไว้คือ ในมาตรา 254 ระบุนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2557 และคณะรัฐมนตรี ซึ่งหมายถึงผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่สวมหัวโขนหัวหน้าเผด็จการ คสช.ด้วยนั้น เป็นนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 ด้วย ดังนั้นวาระการดำรงตำแหน่งของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงต้องนับต่อเนื่องนับตั้งแต่การดำรงตำแหน่งสมัยแรก นั่นหมายความว่าจะครบ 8 ปีเต็มในเดือน สิงหาคม ปีนี้

ขณะเดียวกัน รัฐธรรมนูญฉบับมีชัยที่ถูกมองว่าวางกับดักไว้รอบด้าน สุดท้ายก็กลับมาพันธนาการพรรคพวกตัวเอง ประเด็นการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปีนั้น ได้มีการจัดทำบันทึกเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญไว้ด้วย และระบุถึงเจตนารมณ์ของการกำหนดวาระ 8 ปีของนายกฯ ว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตทางการเมืองเหมือนในอดีต นั่นหมายความว่าวาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปีของนายกฯ เป็นวาระเด็ดขาดแน่ชัดของรัฐธรรมนูญ จะตีความให้ผิดเจตนารมณ์นี้ไม่ได้

ดังนั้น แม้รัฐธรรมนูญจะประกาศใช้ในปี 2560 แต่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้เองและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ว่านายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ 2557 หรือรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวนั้น ก็คือนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 ด้วย และการแบ่งเวลาการดำรงตำแหน่งก่อนหรือหลังที่รัฐธรรมนูญฉบับสืบทอดอำนาจหรือรัฐธรรมนูญ 2560 มีผลบังคับใช้ ก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งทำให้เข้ารกเข้าพง หากต้องนำไปสู่กระบวนการตีความทางข้อกฎหมาย ก็น่าจะยากที่จะหาช่องให้เอาตัวรอดได้

มีกูรูบางรายได้ดักทางองค์กรที่จะทำหน้าที่ตีความอย่างศาลรัฐธรรมนูญไว้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยเรื่องทำนองนี้ไว้เป็นบรรทัดฐานแล้ว นั่นคือการดำรงตำแหน่งของ ส.ส. ที่สิ้นสุดลงเพราะเหตุเคยถูกศาลพิพากษาจำคุก ทั้งที่การถูกพิพากษาจำคุกนั้นเกิดขึ้นก่อนรัฐธรรมนูญ 2560 ใช้บังคับ หมายความว่าเมื่อรัฐธรรมนูญบัญญัติชัดเจนถึงกรณีใดแล้ว แม้ว่ากรณีนั้นเกิดก่อนรัฐธรรมนูญ 2560 ใช้บังคับ ก็ย่อมมีผลบังคับตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ

จากที่เคยมองกันว่าด้วยองคาพยพต่าง ๆ ที่วางไว้เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับขบวนการสืบทอดอำนาจ ประเด็น 8 ปีในเก้าอี้นายกฯ ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจึงไม่น่าจะมีอะไรหนักใจ ทุกอย่างจะผ่านพ้นไปด้วยดี โดยอาศัยการตีความของบุคคลในองค์กรที่ตัวเองมีส่วนตั้งมากับมือ ก่อนหน้านั้นอาจคิดว่าคงเป็นเช่นนั้น แต่บริบททางการเมืองหลังเกิดปรากฏการณ์ชัชชาติ ทำให้บางส่วนมองว่าอาจเกิดการพลิกผันที่ไม่น่าเชื่อก็ได้ ทว่าโอกาสความเป็นไปได้น่าจะน้อยกว่าการได้ไปต่อ เพราะพวกเผ่าพันธุ์เผด็จการนั้นอย่างหนายังเรียกพี่

ทำงานมาได้แค่ 1 เดือน แต่ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ถูกขบวนการไอโอและพวกเลียอุ้งตีนเผด็จการสืบทอดอำนาจ คอยจับผิดและปล่อยข่าวทำลายอยู่ตลอดเวลา ล่าสุดเล่นแรงถึงกับป่าวประกาศผู้ว่าฯ กทม.จะย้ายใหญ่ผู้อำนวยการเขตเพื่อเอาพรรคพวกของตัวเองมาทำหน้าที่ แหม! มันช่างเหมือนพฤติกรรมของพวกบ้าอำนาจที่อยู่มานานกว่า 8 ปียังไงยังงั้น ที่ดันก้นแต่พวกตัวเองข้ามหัว ข้ามห้วย จนข้าราชการจำนวนไม่น้อยหมดกำลังใจ งานนี้ไม่มีอะไรหนักใจสำหรับชัชชาติ เมื่อทุกอย่างยึดงานเป็นที่ตั้ง คนทำงานก็ไม่ต้องหวั่นไหว ไม่มีคำว่าเล่นพรรคเอาพวก ขอแค่ทุกคนทำงาน ทำงาน และทำงาน การันตีว่าไม่มีการรังแกกันเด็ดขาด

Back to top button