การลงทุนในช่วงค่าบาทอ่อน

สถานการณ์ของสงครามค่าเงินนี้ มีเดิมพันที่มากกว่าธรรมดา และคงไม่ขึ้นกับเป้าหมายเงินเฟ้อที่เคยเป็นเสาหลักของธปท.มาตั้งแต่หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง


ในภาพรวมของตลาดเก็งกำไรทั่วโลกแล้ว กองทุนร่วมเสี่ยงและกองทุนเฮดจ์ฟันด์ทั้งหลาย จะมุ่งใช้ประโยชน์จากตลาดหลักที่ถือเป็นตัวหล่อเลี้ยงและหลบภัยในฐานะที่เป็นสวรรค์ของทุนลี้ภัยที่แสวงหาหลุมหลบภัยทางการเงิน “safe haven” ในสามตลาดคือตลาดตราสารหนี้ ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนและตลาดทองคำ แต่หลายปีมานี้ตลาดคริปโตก็เริ่มเป็นทางเลือกชนิดกำไรสูงเสี่ยงสูงที่มีความสำคัญขึ้นมา

ประเด็นสำคัญยามนี้คือมีเฉพาะตลาดตราสารหนี้ในสหรัฐฯ เท่านั้นที่ดูจะปลอดภัยที่สุด ส่วนตลาดอื่น ๆ ยัง “ลูกผีลูกคน” และมีความไม่แน่นอนที่มากกว่าแค่ความเสี่ยงปกติ

การที่พื้นฐานของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินข้ามสกุล หรือเรียกง่าย ๆ ว่า Forex มีแนวโน้มจะเอนเอียงไปทางเงินดอลลาร์ ที่มีตัวแปรสำคัญที่ชี้ทิศทางของตลาดได้ดีคือ เรื่องของการขึ้นลงของอัตราดอกเบี้ยของเฟดเป็นหลัก เมื่อใดที่แนวโน้มเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการทยอยลดปริมาณเงินในระบบ ส่งผลให้เกิดแนวโน้มการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ ทั้งต่อประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา

เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะดอลลาร์สหรัฐ ใช้ในการซื้อขายน้ำมัน สินค้าที่มีวอลุ่มสูงที่สุดในโลก ในแต่ละวันจะมีมูลค่าการซื้อขายน้ำมันดิบของโลกสูงถึง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ ความพยายามใด ๆ จากอิหร่านหรือรัสเซีย หรือจีนที่จะทำให้การค้าน้ำมันดิบในตลาดโลกด้วยการหาสกุลเงินอื่นมาแทนที่ดอลลาร์สหรัฐ มักเจออุปสรรคมากกว่าความสำเร็จ

ผลพวงที่ตามมามากมาย จึงทำให้ค่าดอลลาร์สูงเกินจริงตลอดเวลาประมาณ 30% ของมูลค่าใช้สอยจริงหรือ usable value เช่นเดียวกันกับราคาทองคำแท่งในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์

นี้คือปรากฏการณ์ของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนที่มีดอลลาร์เป็นเงินที่ทรงอิทธิพลที่สุดข้ามยุคสมัยมานับแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งสองจนถึงปัจจุบันและอนาคตอันใกล้

อำนาจนำเหนือตลาดเงินหรือ dollar hegemony over forex market ทำให้โลก ต้องเงี่ยหูและจับตาดูเฟด ที่มีอิทธิพลเหนือการเงินของโลกโดยปริยาย ไม่ว่าจะชอบหรือชัง ก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้

ผลที่ตามมาคือเฟดสามารถทำการส่งออกนโยบายทางการเงินของสหรัฐฯ ให้รัฐและธนาคารกลางทั่วโลกซึ่งถูกจับเป็นตัวประกันที่หนีไม่พ้น

หลังจากที่เฟดส่งออกเงินฝืดให้ทั่วโลกตกอยู่ในสภาพต้องกดดอกเบี้ยต่ำติดพื้นมายาวนานนับตั้งแต่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี ค.ศ. 2008 ล่าสุดในปีที่ผ่านมา เฟดเริ่มปรับแนวใหม่ส่งออกเงินเฟ้อ ให้ชาติต่าง ๆ ยอมรับ และการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อก็กลายเป็นภารกิจหลักที่ธนาคารกลางทั่วโลกต้องยอมรับ

ธนาคารกลางที่เป็นหัวหอกไม่ยอมรับเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยจากเฟด ก็ต้องเจอกับมาตรการสั่งสอนด้วยการที่ค่าเงินถดถอยลงต่ำเกินจริง

กรณีค่าเงินเยนของญี่ปุ่นที่อ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบ 20 ปี ก็อาจจะมาจากสาเหตุนี้ได้ ไม่ใช่เพราะคำอธิบาย “เข้าข้างตนเอง” อย่างที่อ้างว่าสาเหตุที่เงินเยนอ่อนค่าหนักในรอบ 20 ปี เกิดจาก การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นที่มีเจตนาทำให้เยนอ่อนค่าลง

ในสงครามที่ยามนี้ ไม่รู้แล้วใครคือมิตร ใครคือศัตรู ซึ่งทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (ซึ่งมีแนวทางแตกต่างจากประเทศส่วนใหญ่อยู่ในแนวโน้มคุมเข้ม ปราบเงินเฟ้อ คือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ย) ดูเหมือน ยังคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (เพื่อแก้ปัญหาสังคมสูงวัยที่จุกอกอยู่ ไร้ทางออกชัดเจนคือ อัตราดอกเบี้ยต่ำ ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยนโยบายนี้เอง ที่เป็นส่วนหนึ่งให้เงินไหลออก เกิดแรงเทขายเงินเยน จนอ่อนค่าลงไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องพึ่งพา “มิสเตอร์เยน” มาปั่นราคาในตลาด  …กลายเป็นเหยื่อของสงครามสั่งสอนยามที่เฟดกำลังส่งออกเงินเฟ้อ

การที่แนวโน้มการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ ยังน่าจะมีอยู่ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ แสดงท่าทีที่ค่อนข้างชัดเจนในความพยายามควบคุมเงินเฟ้อด้วยการเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เมื่อเทียบกับธนาคารกลางของประเทศอื่น ๆ ยุโรป และญี่ปุ่น หรือแม้แต่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาต่าง ๆ กลายเป็นเหยื่อจากความไม่เดียงสาไปด้วย เพราะว่า เงินดอลลาร์ ยังคงได้เปรียบในฐานะของ “หลุมหลบภัยของนักลงทุน” โดยเฉพาะในภาวะปัจจุบันชาติขนาดเล็ก เผชิญกับความเสี่ยงเป็นภาวะ เศรษฐกิจถดถอยหรือ Stagflation

กรณีของไทยนั้น หากเงินดอลลาร์ ยังคงแข็งค่าต่อเนื่อง การที่ราคาสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ อาจจะเพิ่มแรงกดดันให้กับเศรษฐกิจไทยได้ และแม้ว่าจะมีการคาดการณ์ว่าเงินบาทอาจจะกลับมาแข็งค่าขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและส่งออก แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนสูง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณชะลอตัวชัดเจนในช่วงหลัง

หากเทียบกับเงินสกุลต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชีย เงินดอลลาร์ ก็ปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับทุกสกุล แต่มากหรือน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละสกุล โดยเงินดอลลาร์ แข็งค่าขึ้น 5.9% เมื่อเทียบกับเงินบาท นับตั้งแต่ต้นปี (อ่อนค่ามากสุดเป็นลำดับที่ 5) และค่าเงินบาท ณ ระดับปัจจุบันที่ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นระดับที่อ่อนค่าที่สุดในรอบ 5 ปี

รวมทั้งเมื่อ ‘ราคาทอง’ เข้าสู่กรอบขาลงชัดเจน นักวิเคราะห์ก็ปรับมุมมองเป็นเชิงลบ จากการที่เงินบาทไทยสามารถแลกเป็นเงินต่างประเทศที่เป็นสกุลหลัก เช่น เงินดอลลาร์ ได้น้อยลง ในทางกลับกันเงินดอลลาร์สามารถแลกเป็นเงินบาทไทยได้มากขึ้น ทำให้คนหันไปถือเงินดอลลาร์และซื้อพันธบัตรมากขึ้น เนื่องจากเชื่อว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย

แถมท้ายด้วยข้อมูลจาก กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่าในเดือน พฤษภาคม 2565 อัตราเงินเฟ้อไทยขยายตัว 7.1 % สูงสุดในรอบ 14 ปีทำให้เงินทุนไหลออกจากตลาดไทยรุนแรงขึ้น  เนื่องจากคนจะแลกเงินบาทเป็นเงินดอลลาร์เพื่อหวังผลตอบแทนที่มากกว่า ขณะเดียวกันจากภาวะเงินเฟ้อ ทำให้อำนาจการซื้อของประชาชนลดลง เป็นตัวชี้วัดว่าเงินบาทอ่อนค่าลงเช่นกัน โดยเฉพาะหลังจากที่จีนล็อกดาวน์ประเทศครั้งใหม่จากการระบาดของโควิดระลอกล่าสุด

ที่ผ่านมา กนง. ภายใต้ธปท. ได้มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.50 เมื่อวันที่ 6 มิ.ย แม้ว่าจะประสบปัญหาเงินเฟ้อและเงินบาทอ่อนค่า ถือเป็นการตัดสินใจที่ละล้าละลังระหว่างผลดีที่จะเกิดกับภาคเกษตร ท่องเที่ยว และ ผลกระทบต่อต้นทุนราคาพลังงาน และปัญหาเงินเฟ้อที่สูงอยู่แล้วในไทย ทำให้มีคำถามว่า ธปท. จะสามารถปล่อยให้ค่าเงินบาทอ่อนลงได้นานแค่ไหน เพราะการอ่อนค่าของเงินบาททำให้เกิดผลดีและผลเสียต่อกลุ่มสินค้าต่อไปต่างกัน (กลุ่มที่ได้รับประโยชน์ จากบาทอ่อนค่า คือกลุ่มผู้ส่งออก เนื่องจากรายได้ในรูปแบบเงินต่างประเทศ กลุ่มผู้ทำงานต่างประเทศ และกลุ่มท่องเที่ยว เนื่องจากรายได้บางส่วนมาจากชาวต่างชาติที่มีเงินต่างประเทศ ส่วนกลุ่มที่เสียประโยชน์จากค่าเงินแข็งค่า กลุ่มผู้นำเข้า เนื่องจากต้นทุนนำเข้าสูงขึ้น กลุ่มผู้บริโภค กลุ่มผู้ลงทุน เนื่องจากนำเข้าสินค้าทุนแพงขึ้น เช่น เครื่องจักร อุปกรณ์และ กลุ่มผู้มีหนี้กับต่างประเทศ

ผลกระทบของเงินบาทอ่อนค่าต่อตลาดหุ้นและหุ้นรายตัว ในมุมมองของนักวิเคราะห์หุ้น คือการต้องระวังหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติซื้อไว้มาก เช่น น้ำมัน-ธนาคาร ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาทมีน้อย เพราะมี ความเสี่ยงในเรื่องปริมาณขาย (ส่งออก) ที่อาจลดลง

สถานการณ์ของสงครามค่าเงินนี้ มีเดิมพันที่มากกว่าธรรมดา และคงไม่ขึ้นกับเป้าหมายเงินเฟ้อที่เคยเป็นเสาหลักของธปท.มาตั้งแต่หลังวิกฤตต้มยำกุ้งนานกว่า 2 ทศวรรษแล้ว ทำให้พอร์ตลงทุนในตลาดหุ้นยามนี้มีตัวแดงมากขึ้นอย่างชัดเจน

Back to top button