พาราสาวะถี

ตามมาติด ๆ กับฉายาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา ส.ส.และ ส.ว.ที่สื่อมวลชนประจำรัฐสภาตั้งให้ในปีนี้ ถือว่าไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย


ตามมาติด ๆ กับฉายาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา ส.ส.และ ส.ว.ที่สื่อมวลชนประจำรัฐสภาตั้งให้ในปีนี้ ถือว่าไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย ภาพสะท้อนที่ออกมาล้วนแต่ตรงกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นทั้งสิ้น โดยฉายาสภาผู้แทนราษฎรคือ “3 วันหนี 4 วันล่ม” ก็เป็นไปตามนั้น ยิ่งช่วงปลายสมัยก็เห็นได้ชัดไม่ได้มีแค่การหนีประชุมสภาเท่านั้น แต่ ส.ส.อีกเกือบ 40 ชีวิตยังได้ไขก๊อกเพื่อเป้าหมายทิ้งพรรคเก่าย้ายไปพรรคใหม่ ตามพลังดูดที่ความจริงก็เลี้ยงดูกันมาอย่างยาวนาน

ขณะที่ฉายาของวุฒิสภาที่ว่า “ตรา ป.” ก็เป็นไปอย่างที่นักข่าวสภาขยายความ ทุกท่วงท่าของ ส.ว.ล้วนแล้วแต่ทำเพื่อผู้มีพระคุณ ซึ่งในที่นี้หมายถึง 2 ป. คือ ป.ประวิตรพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. กับ ป.ประยุทธ์ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ อย่างไรก็ตาม ให้จับตาหลังการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นไปเหมือนที่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทยพูดดักคอไว้หรือไม่ ถ้าแลนด์สไลด์ประสบผลสำเร็จ เราก็จะได้เห็น ส.ว.ไม่ได้มีแค่ 2 ป. แต่จะเพิ่มมาอีก 1 ป. นั่นก็คือ “อยู่เป็น”

ความจริงของ ส.ว.กลุ่มนี้น่าจะเป็นพวกเดียวกันกับสายของ ป.ประวิตร เพราะมีพี่เลี้ยงที่คอยประสานกัน 7-8 คนเรียกว่าอุ้มชูดูแลกันอย่างดี ส.ว.สายอยู่เป็นนี่เองที่จะเป็นตัวชี้วัดผลการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งหน้า ที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจหวังว่าจะใช้เป็นไม้เด็ดในการต่อรองกับพรรคการเมืองทั้งหลายให้มาจับมือเพื่อหนุนตัวเองเป็นผู้นำประเทศอีกกระทอก ก็จะได้พิสูจน์กัน คนที่ไร้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่มีหัวโขนหัวหน้า คสช.แล้ว คำพูดยังจะขลังอยู่หรือไม่

ผลพวงของสภาล่มซ้ำซากนี้เองที่นำมาสู่ฉายาของ ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรที่ว่า “ชวน ซวยเซ” จากที่ ส.ส.รุ่นหลังเคยเคารพนับถือ เชื่อฟังให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี พอเข้าสู่ปีสุดท้ายกลายเป็นพูดไม่ฟัง ขอร้องไม่ได้รับความร่วมมือ แน่นอนว่าในซีกของฝ่ายค้านคงจะไปเรียกร้องอะไรไม่ได้ แต่ในฝั่งรัฐบาลด้วยกันเอง ปมองค์ประชุมไม่ครบในฐานะฝ่ายเสียงข้างมากจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ไม่มีใครเถียงตามที่ชวนออกมาโต้ แม้สภาจะล่มแต่ผลงานก็มาก ทว่าภาพที่เกิดขึ้นมันสะท้อนถึงบารมีของจอมหลักการที่หดหายไปอย่างมหาศาลมากกว่า

บารมีที่ว่าตรงนี้ไม่ใช่จะกระทบแต่ในสภา อาจจะลามไปถึงการสะสางปัญหาที่รุมเร้าภายในพรรคเก่าแก่ด้วย ด้าน พรเพชร วิชิตชลชัย กับฉายา “พรเพชร พักก่อน” จากมุมมองของสื่อสภาที่เห็นว่าการทำหน้าที่ของประธานสภาสูงทำหน้าที่สนับสนุนรัฐบาล เหมือนสมัยสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือ สนช.มากกว่าทำหน้าที่ตรวจสอบ จึงทำให้เกิดคำถามว่าพรเพชรควรพักก่อนหรือไม่ ได้แต่พูดกันไปเพราะความจริงพรเพชรก็ไม่ต่างจากท่านผู้นำในฐานะร่วมขบวนการสืบทอดอำนาจและเคยเป็นถึงประธานที่ปรึกษากฎหมายส่วนตัวหัวหน้า คสช.มาแล้ว นั่นย่อมการันตียี่ห้ออย่างหนาได้เป็นอย่างดี

ส่วนผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งก็คือหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ที่ได้รับฉายา “หมอ (ง) ชลน่าน” ต้องยอมรับสภาพความเป็นจริง เมื่อบทบาทหน้าที่ภายในพรรคต้นสังกัดเปลี่ยนไป ภาพของอดีตดาวเด่นสภาที่ได้รับจากนักข่าวรัฐสภาเมื่อปี 2564 จึงหายไป ท่วงทำนองที่เคยยึดโยงหลักการอันหนักแน่น ย่อมแปรเปลี่ยนไปตามหัวโขนที่ได้รับ ยิ่งการเป็นแม่ทัพนำพรรคนายใหญ่มุ่งสู่เป้าหมายแลนด์สไลด์ด้วยแล้ว ถือเป็นภารกิจอันหนักอึ้ง ท้าทาย ถ้าเป็นไปตามหวังก็คือฮีโร่ แต่หากตรงข้ามอาจถึงขั้นเสียผู้เสียคนกันเลยทีเดียว

คงไม่แปลกกับการที่ปีนี้นักข่าวสภาไม่มีการมอบตำแหน่งดาวเด่นประจำปี และไร้คนดีศรีสภาเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน กรณีแรกพอจะเข้าใจได้การอภิปรายสำคัญ ๆ โดยเฉพาะศึกซักฟอก ข้อมูลของฝ่ายค้านไม่มีอะไรเป็นทีเด็ด ผู้อภิปรายก็หน้าเดิม ๆ เห็นลีลากันมาหมดแล้ว จึงไม่มีใครโดดเด่นเข้าตา ยิ่งฝ่ายรัฐบาลไม่ต้องพูดถึง ขณะที่คนดีศรีสภาคงหาได้ยากยิ่ง เมื่อต่างฝ่ายต่างจ้องที่จะช่วงชิงความได้เปรียบ หักเหลี่ยมชิงไหวชิงพริบกันตลอดเวลา ยึดประโยชน์ของตนเองและพรรคพวกเป็นหลัก จึงทำให้ละเลยเรื่องบ้านเมืองและประชาชนไปเสียฉิบ

สำหรับตำแหน่งดาวดับที่มอบให้ มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคไทยศรีวิไลย์นั้น เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง ทุกเรื่องที่เปิดประเด็น แอ็คชั่นที่แสดงออกนอกจากสร้างกระแส ปั่นเรตติ้งให้ตัวเองแล้ว หาได้เกิดมรรคผลใด ๆ ต่อสังคมไม่ สมควรแล้วที่จะถูกมองเช่นนั้น สิ่งที่จะตามมาคือ การเลือกตั้งครั้งหน้าโอกาสได้กลับคืนสู่สภาคงริบหรี่ ผลจากรูปแบบการเลือกตั้งที่เปลี่ยนไปนั่นก็ประการหนึ่ง แต่ผลจากการกระทำส่วนตัวจะเป็นเรื่องหลัก เพราะคงไม่มีพรรคไหนที่จะชวนไปร่วมงานกับคนที่ถูกมองว่าคบยาก

ทั้งนี้ สิ่งที่นักข่าวสภาฯ ได้ร่วมลงมติกันมาแล้วเชื่อว่าจะมีผลไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า คงเป็นส่วนที่เกี่ยวกับ วาทะแห่งปีที่เลือก “เรื่องปฏิวัติผมไม่ได้เกี่ยวข้อง นี่ครับคนปฏิวัติ..ท่านนายกฯ คนเดียว” ซึ่งพี่ใหญ่ชี้นิ้วโบ้ยไปที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเมื่อคราวอภิปรายไม่ไว้วางใจกลางปีที่ผ่านมา โดยตัวท่านผู้นำก็ยกมือรับลูกด้วยความภาคภูมิใจ ในการหาเสียงเลือกตั้งหากมีการนำไปขยายผลคะแนนเสียงจากฝ่ายประชาธิปไตยสำหรับสองศรีพี่น้องย่อมเป็นศูนย์ ส่วนผู้ที่กำลังชั่งใจก็ต้องคิดคนที่ไม่มีหัวใจรักความเป็นประชาธิปไตย เอาแต่ทุบโต๊ะไม่ฟังเสียงใคร ควรจะได้รับโอกาสเป็นตัวแทนประชาชนอย่างนั้นหรือ

ผลสะเทือนจากการตั้งฉายาของสื่อทำเนียบรัฐบาลจนมาถึงรัฐสภา กับความไม่พอใจของประมุขของทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ย่อมเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่าตลอดระยะเวลาของการทำหน้าที่เกือบ 4 ปีที่ผ่านมานั้นได้สร้างผลงานจนเป็นที่ประจักษ์ มากพอที่จะทำให้คนส่วนใหญ่ยอมกาบัตรเลือกพรรคที่ตัวเองสังกัดกลับมาอยู่ในจุดที่เคยเป็นอีกหรือไม่ เมื่อสั่นคลอนต่อความน่าเชื่อถือย่อมเกิดการโวยวายตีโพยตีพายอย่างคนหัวเสีย ต่างกันเพียงแค่คนหนึ่งไม่พอใจแล้วแสดงออกแบบคนวางก้าม อีกคนแสดงออกแบบผู้ดี นี่แค่เริ่มต้น เมื่อเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มตัวเราจะได้เห็นอาการเสียทรงมากกว่านี้อีกหลายหน

Back to top button