พาราสาวะถี

เดินสายถี่ยิบโค้งสุดท้ายก่อนยุบสภา ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเริ่มโชว์ลีลาตอบโต้ทางการเมืองกับกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้าน


เดินสายถี่ยิบโค้งสุดท้ายก่อนยุบสภา ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเริ่มโชว์ลีลาตอบโต้ทางการเมืองกับกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้าน วันวานไปบ้านโป่ง ราชบุรี มีคนไปชูสามนิ้ว ก็บอกว่าเป็นคนไม่ปกติต้องไปหาหมอ ปากก็บอกว่าไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างได้ แต่ความจริงก็ไม่ยอมให้ใครมาวิพากษ์วิจารณ์ รับฟังความจริงไม่ได้ ดังนั้น ความเป็นนักการเมืองเต็มตัวจึงเป็นได้แค่เพียงภาพที่หวังจะฟอกขาวเพราะจิตใจยังเป็นเผด็จการเต็มรูปแบบ

ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะเดินทางแบบขึ้นเหนือล่องใต้ ไปทุกพื้นที่ สังเกตให้ดี ทุกพื้นที่ที่ไปคือจังหวัดความหวัง ไม่ว่าจะราชบุรี สงขลา ยะลา ส่วนการไปภาคอีสานและภาคเหนือ ตรงนั้นเป็นเรื่องเผื่อฟลุค หรือหากมีการจับพลัดจับผลูคู่แข่งถูกยุบพรรค ก็จะได้อานิสงส์ที่คิดว่าคนของตัวเองคงจะเป็นตัวเลือกที่ประชาชนไว้วางใจ คิดแบบนี้เป็นการคิดแบบพวกอำนาจนิยม เชื่อมั่นว่ากลไกที่วางไว้เมื่อถึงเวลาจะสามารถจัดการพลิกสถานการณ์ที่ตกเป็นรองกลับมากุมความได้เปรียบในทันที

แต่ประเด็นการยุบพรรคดูท่าว่าจะไม่ได้ทำให้พวกที่อยู่ในข่ายเป้าหมายหลักคือ เพื่อไทยกับก้าวไกล ไม่ได้หวั่นไหวต่อกระแสที่ถูกสร้างขึ้น โดยเฉพาะเพื่อไทยเนื่องจากผ่านการถูกกระทำมาแล้วตั้งแต่ไทยรักไทย พลังประชาชน รวมไปถึงไทยรักษาชาติที่แม้จะแยกไปจากเพื่อไทยแต่คนส่วนใหญ่ก็รู้ดีว่ามีความเกี่ยวพันกันแบบไหน และตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ใด หนนี้ก็เช่นกันเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายจะเล่นไม่ซื่อตั้งแต่หลังช่วงเปิดรับสมัคร ส.ส.ย่อมมีการวางแผนแก้เกมกันไว้เรียบร้อย

ทิศทางการเมืองว่าด้วยการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น จึงมองไปในแนวทางเดียวกันสำหรับพรรคการเมืองส่วนใหญ่ จะก้าวข้ามความขัดแย้งได้ต้องไม่มีนายกรัฐมนตรีชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะปัญหาที่ประเทศไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้ เกิดจากขบวนการสืบทอดอำนาจที่ฝังรากลึก เอื้อประโยชน์ให้แก่คนแค่หยิบมือ มากไปกว่านั้นที่ย้ำมาตลอดการปล่อยให้ความแตกแยกยังคงอยู่ต่อไปมันคือข้ออ้างอันมีน้ำหนักมากที่สุดที่จะให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้อยู่ยาวจนกว่าจะพอใจ

การวินิจฉัยเรื่องความเป็นนายกฯ 8 ปีตามรัฐธรรมนูญ 2560 ความจริงมันก็คือการทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้อยู่ยาวสร้างสถิติมากกว่าใครเพื่อนแล้ว น่าจะรู้จักพอ แต่ด้วยความล้มเหลวในการบริหารงานตลอดระยะเวลากว่า 8 ปีที่ผ่านมา หากเปลี่ยนมือบริหารประเทศ มันก็จะทำให้เกิดการเปรียบเทียบได้ทันที สิ่งที่กลัวกันมากที่สุดหนีไม่พ้น บรรดาเรื่องที่ถูกซุกใต้พรมทั้งหลายจะถูกขุดมาประจาน ที่ทำให้ขบวนการสืบทอดอำนาจเริ่มไม่ไว้วางใจคือ องค์กรที่เคยโอบอุ้มกันมาก่อนนั้นเริ่มที่จะแสดงอิทธิฤทธิ์ ไม่อยู่ใต้อาณัติของผู้มีพระคุณอีกต่อไป

น่าคิดและขีดเส้นใต้ต่อบทสัมภาษณ์ของ วิษณุ เครืองาม เนติบริกรศรีธนญชัยที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจให้ความเคารพและไว้วางใจมากที่สุด พูดถึงกรณี ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาผู้บริหาร กทม. และนักธุรกิจ รวม 13 คนกรณีต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง มันหมายถึงอะไร เป็นการเมืองแบบไหน ใครต้องการเล่นงานใคร แล้วการเมืองแบบไหนที่จะมาชี้นิ้วสั่ง ป.ป.ช.ได้ ในเมื่อองค์กรแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นองค์กรอิสระ

ถ้าไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม คนก็จะมองไปอีกว่า ป.ป.ช.ถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองเช่นนั้นหรือ ประสากูรูกฎหมายเบอร์ต้นของประเทศ คงไม่พูดส่งเดชเพื่อด้อยค่าองค์กรอิสระแบบนี้ แต่หากมีมิติทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องจริง คนก็ย้อนกลับไปคิดถึงกระบวนการพิจารณาเรื่องแหวนแม่นาฬิกาเพื่อน อย่าลืมเป็นอันขาดว่าหนึ่งในกรรมการ ป.ป.ช.ถูกมองว่าเคยเป็นคนใกล้ชิดหรือลูกน้องของหัวหน้าพรรคการเมืองหนึ่งมาก่อน เช่นนี้หมายความว่า มีการเลือกปฏิบัติและเลือกที่จะจิ้มใครก็ได้เพื่อให้ฝ่ายที่ตัวเองสนิทได้เปรียบทางการเมืองแบบนั้นหรือ

หากยึดเอาสิ่งที่วิษณุว่ามีการเมืองจากปมชี้มูลเรื่องนี้ของ ป.ป.ช. กรณีของ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ ที่ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พรรคภูมิใจไทยจะมองไปแบบไหน ไม่เพียงเท่านั้นปมของรถไฟฟ้าสายสีส้มที่เป็นประเด็นก็มีข่าวเล็ดลอดมาจากทำเนียบรัฐบาลว่า จะมีการนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ในวันนี้ (14 มีนาคม) ทั้งที่ก่อนหน้านั้น อธิรัฐ รัตนเศรษฐ ปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้ากระทรวงหูกวางเพิ่งบอกว่า สั่ง รฟม.ชะลอลงนามในโครงการนี้ไปก่อนถ้าประเด็นยังไม่เคลียร์ ก็คงไปต่อไม่ได้

หากมีการผลักดันเข้าสู่ที่ประชุม ครม.จริงย่อมจะเกิดคำถามตามมาสารพัด เหล่านี้คือส่วนหนึ่งของปัญหาหมักหมมที่ถูกบ่มเพาะมาตั้งแต่รัฐบาลเผด็จการจนถึงรัฐบาลเรือเหล็กที่เป็นเครือข่ายของขบวนการสืบทอดอำนาจ จุดที่ต้องคิดกันให้หนักก็คือ พวกที่เข้ามาอุ้มชูผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจให้ได้ไปต่อ โดยใช้มือของ ส.ว.ลากตั้ง 250 เสียงเป็นตัวผลักดันนั้น หลังการจัดสรรปันส่วนเก้าอี้แล้ว พบว่าการแบ่งปันผลประโยชน์ไม่ได้เป็นไปตามสัดส่วนที่ควรเป็น

ความเคลื่อนไหวของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ที่ถูกพรรคการเมืองตีตราว่ารับงานบางพรรคมา การทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการแทนของรัฐมนตรีจากอีกพรรค ซึ่งทั้งสามพรรคก็คือพรรคร่วมรัฐบาลในเวลานี้ทั้งสิ้น เป็นตัวบ่งชี้ว่า เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเข้าสู่สมรภูมิการเลือกตั้ง คำว่าไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวรนั้นยังคงใช้ได้อยู่เสมอ และก็กลายเป็นว่ากลไกที่ถูกวางไว้เพื่อใช้ฟาดฟันฝ่ายตรงกันข้ามนั้น กลับถูกนำมาใช้ห้ำหั่นพวกเดียวกันเองไปเสียฉิบ

อย่าได้แปลกใจที่วันนี้ อนุทิน ชาญวีรกูล จะประกาศพร้อมเป็นนายกฯ และขันอาสาที่จะประสานทุกพรรคเพื่อสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง มันก็เท่ากับเป็นการประจานการทำงานของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ผ่านมาไปในตัวว่า การแก้ไขความขัดแย้งมากว่า 8 ปีนั้นล้มเหลวและเป็นเพียงข้ออ้างของการให้ตัวเองได้อยู่ในตำแหน่งให้นานที่สุดเท่านั้น สุดท้าย ท่วงทำนองแบบนี้โอกาสที่จะได้เห็นขั้วการเมืองเดิมหลังเลือกตั้งนั้นคงริบหรี่ตามไปด้วย

Back to top button