พาราสาวะถี

ถอดรหัส จับอาการของผู้นำเผด็จการต่อความไม่ชัดเจนที่โน้มเอียงไปในทิศทางที่ว่า ไม่รับการจัดวางให้เป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรครวมไทยสร้างชาติ


ถอดรหัส จับอาการของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต่อความไม่ชัดเจนที่โน้มเอียงไปในทิศทางที่ว่า ไม่รับการจัดวางให้เป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่น่าจะใช่เพียงแค่เหตุผลส่วนตัวที่ไม่อยากจะเกลือกกลั้วกับนักการเมืองที่ตัวเองเคยกล่าวหาว่าชั่วว่าเลวแบบเต็มตัว แม้จะแสดงตนเป็นนักการเมืองเต็มตัวผ่านการเป็นสมาชิกพรรคแล้วก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เซย์โนคงจะเป็นเรื่องผลของการเลือกตั้งมากกว่า

อย่าลืมว่าถ้าพรรคของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้ ส.ส.ไม่ถึง 25 ที่นั่ง แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่มีการส่งชื่อของ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคมาประกบกับท่านผู้นำด้วยนั้น จะกลายเป็นหมันในทันที เมื่อเป็นนายกฯ ไม่ได้สำหรับคนที่ต้องการอยู่ยาวมันจะมีความหมายอะไร ต่อให้มีเก้าอี้รัฐมนตรีอื่นเป็นการปลอบใจมันก็ไม่ยิ่งใหญ่สมราคาอดีตหัวหน้าเผด็จการ คสช. ดังนั้น ถ้าไปยอมรับความหวังดีลงสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ลองนึกภาพตามไปคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองแบบนี้จะทำหน้าที่อย่างไร

โจทย์จะยากเข้าไปอีกหากรวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคฝ่ายค้าน ถ้ามีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายรัฐบาล เมื่ออำนาจเปลี่ยนมือสิ่งที่เคยทำไว้ในอดีตการขุดคุ้ยเพื่อมาทำลายมันไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ธรรมดาของมนุษย์ยิ่งเป็นคนที่ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอุ้มพรรคพวกมากกว่าใช้การบริหารราชการตามหลักธรรมาภิบาล บรรดาคนที่จองกฐินย่อมพร้อมที่จะช่วยป้อนข้อมูลให้ฝ่ายกุมอำนาจใหม่ไปประจานกันอย่างเอิกเกริก เมื่อไม่แน่ใจเช่นนี้แล้วจะไปเสี่ยงให้เจ็บตัวเพื่ออะไร

ต่อให้ยังคงมั่นอกมั่นใจกลไกของขบวนการสืบทอดอำนาจที่วางไว้ องค์กรที่เคยมีบุญคุณล้นพ้นต่อกันอาจจะช่วยพลิกสถานการณ์ให้กลับมาได้เปรียบทางการเมือง แต่ขึ้นชื่อว่าการเมืองความแน่นอนคือความไม่แน่นอน หากอยากปลอดภัยไว้ก่อน ต้องยึดเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นที่ตั้ง เป็นแค่แคนดิเดตนายกฯ ถ้าพลาดเป้าไม่ได้ไปต่อ ก็กลับบ้านไปอยู่กับลูกกับเมีย ไม่ต้องมาเปลืองตัวให้เมื่อยตุ้ม เหมือนที่มีคำพูดหลุดออกมาจากคนใกล้ตัวผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ถึงเวลานั้นตนอาจเป็นแค่คนวงนอกที่เฝ้าดูการทำงานของรัฐบาลชุดใหม่

ไม่ใช่การถอดใจแต่เป็นการเผื่อใจ ทำใจไว้ล่วงหน้า การได้เข้าไปทำงานกับพรรคการเมืองที่ตัวเองได้ตัดสินใจฝากอนาคตความเป็นนักการเมืองเต็มตัวไว้นั้น คนที่มีความเก๋าทางการเมืองอย่าง ไตรรงค์ สุวรรณคีรี จากที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเคยวาดหวังไว้ว่าน่าจะมาช่วยสร้างมูลค่า ทำให้เวทีปราศรัยของรวมไทยสร้างชาติสามารถปลุกเร้า สร้างความฮึกเหิมให้กับมวลชนจนแปรเปลี่ยนเป็นคะแนนนิยมตีตื้นกลับคืนมา กลับเป็นไปในทางตรงข้าม

ไม่น่าเชื่อว่าคนระดับด็อกเตอร์สามสีจะหลุดอะไรได้ขนาดนั้น กลอนพาไปหรือต้องการเอาใจผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจแบบไม่ลืมหูลืมตาก็ไม่น่าจะใช่ จุดใหญ่ใจความมันน่าจะอยู่ที่บรรดาลิ่วล้อ คนแปรพักตร์ที่หันมาสวามิภักดิ์ต่อผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั้น ส่วนมากมั่นใจอย่างสูงยิ่งว่าแบ็คอัพดี เป็นพรรคของพวกอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง การปราศรัยจึงไม่จำเป็นที่จะต้องระวังอะไรมาก ยังไงก็รอดจากการถูกเอาผิด ยิ่งการพูดถึงสิ่งที่ไม่สมควรพูดก็คิดว่าจะช่วยสร้างมูลค่าให้กับพรรคได้มหาศาล

การเดินเกมในลักษณะนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจหนักใจมาถึงทุกวันนี้ ปมที่ถูก กกต.เตือนเกี่ยวกับการนำเอาสถาบันมาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงนั้นก็เรื่องหนึ่ง การพูดผิดบนเวทีปราศรัยใหญ่ที่โคราชบอกให้มวลชนที่มาฟังช่วยกันเลือกไทยรักไทยนั่นก็เป็นอาการหน้าแหกชนิดเพื่อนร่วมพรรคควันออกหู แต่ที่ดูเหมือนจะสร้างความไม่สบายใจ ไม่พอใจ และเป็นการบ้านใหญ่ที่พรรคแก้ไม่ตกคือ การอ้างความหนักใจของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เหมือนจะดีแต่มันไม่ดี

เพราะ 3 สิ่งที่ไตรรงค์สื่อสารกับสังคมว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจหนักใจนั้นคือ ความแตกแยกของคนในชาติ บ้านเมืองไม่สงบสุข ความทุกข์ใจที่เห็นประชาชนยังยากจนทุกข์เข็ญ และการโกงบ้านกินเมืองที่ยังมีอยู่อย่างดาษดื่น จึงจำเป็นที่จะต้องให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้เป็นนายกฯ ต่อไปอีก 2 ปีเพื่อแก้ปัญหานี้ ถามว่าโดยสามัญสำนึกไม่ได้รู้สึกหรือสำเหนียกบ้างเลยหรือ การขอโอกาสแก้ไขในสามเรื่องนี้อยู่มาเกือบ 9 ปีทำไมถึงทำไม่ได้

โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งของคนในสังคม ไหนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจโพนทะนามาตลอดกว่า 8 ปีว่า บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขแล้วนับตั้งแต่ตนเข้ามาบริหารประเทศ แล้วทำไมจึงมาบอกว่าความแตกแยกสามัคคียังมีอยู่ ถือเป็นความย้อนแย้งอย่างยิ่ง และเป็นการประจานความล้มเหลวต่อการแก้ปัญหาที่เป็นข้ออ้างสำคัญของเผด็จการ คสช.อย่างสิ้นเชิง เรื่องคุณภาพชีวิตของประชาชนก็เช่นเดียวกันพล่ามมาตลอดจะทำให้ทุกคนมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน คืนความสุขให้ประชาชน มันเป็นเช่นนั้นหรือไม่

อย่าได้อ้างเรื่องโควิด-19 สงครามรัสเซีย-ยูเครน เพราะมันเป็นกันทั้งโลก ทั้งหมดมันอยู่ที่วิสัยทัศน์ของคนเป็นผู้นำ รวมไปถึงทีมเศรษฐกิจและบุคลากรที่จะมาร่วมกันขับเคลื่อน แก้ปัญหาให้ประชาชน ที่ผ่านมามีแต่การแก้ตัวมากกว่าแก้ไข โยนให้รัฐบาลอื่นรับผิดชอบหรือชอบเอาไปเปรียบเทียบเพื่อปฏิเสธความผิดพลาดหรือล้มเหลวในการบริหารงานของตัวเอง ยิ่งได้เห็นทีมเศรษฐกิจของพรรคผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ได้ประกาศตัวมา ประชาชนส่ายหน้ากันเป็นแถว

ไม่ต้องพูดถึงการทุจริต คอร์รัปชัน จะยกตัวเองว่ามือใสซื่อมือสะอาด แต่บริวารแวดล้อมไม่ต้องย้อนไปถึงรัฐบาลเผด็จการ คสช. เอาแค่หลังเลือกตั้งปี 2562 เป็นต้นมา มีใครเชื่อบ้างว่ารัฐบาลผสมที่มีพรรคการเมืองมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และมีบางพรรคที่มีอำนาจการต่อรองเหนือกว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ บริหารงานกันอย่างโปร่งใส ไม่เอื้อประโยชน์พวกพ้อง คำประกาศของไตรรงค์มันก็เหมือนการสารภาพที่ไม่ยอมรับสภาพว่าหมดปัญญาแก้ปัญหาพวกขี้ฉ้อ เมื่อทุกอย่างมันสวนทางกับภาพที่สร้างมาตลอด จึงไม่ต้องไปสืบค้นหาเหตุผลอีกว่าทำไมจึงไม่รับเป็นผู้สมัครส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคตัวเอง

Back to top button