2566 ปีที่สดใสของ BGRIM

ปี 2566 นี้ น่าจะเป็นปีที่สดใสสำหรับบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ซึ่งตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมามีข่าวดีอย่างต่อเนื่อง


เส้นทางนักลงทุน

ปี 2566 นี้ น่าจะเป็นปีที่สดใสสำหรับบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ซึ่งตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมามีข่าวดีอย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดตั้ง Amata B.Grimm Vietnam Company Limited ซึ่งเป็นบริษัทย่อยแห่งใหม่ในประเทศเวียดนาม เพื่อผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์

การเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการโรงไฟฟ้า บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (เอไออี-เอ็มทีพี) จำกัด (BGPM2R) ที่มีกำลังผลิตติดตั้ง 140 เมกะวัตต์ โดยเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา จากเมื่อเดือนมกราคม โครงการ BGPM1R กำลังผลิตติดตั้ง 140 เมกะวัตต์ ได้ COD ไปก่อนหน้าแล้ว

ตลอดจนการเข้าไปลงทุนถือหุ้นทั้งหมดใน Lotuscom Limited Liability Company ผู้ประกอบธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นเวียดนาม จาก Mr.Tran Viet Dung มีมูลค่าเงินลงทุน 4,800 ล้านเวียดนามดอง หรือประมาณ 6.96 ล้านบาท

BGRIM ยังมีแผนขยายงานต่อเนื่อง โดยตั้งงบลงทุน (Equity CAPEX) ระยะ 8 ปี คือระหว่างปี 2566-2573 ราว 7 หมื่นล้านบาท รองรับการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าให้เป็นไปตามเป้า 10,000 MW ซึ่งกว่า 90% เป็นการลงทุนในส่วนของพลังงานหมุนเวียน และนวัตกรรมอุตสาหกรรม (Renewable Energy & Industrial Solution) โดยมีแหล่งที่มาของเงินทุนราว 64% จากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน

นอกจากนี้ BGRIM ยังได้รับประโยชน์จากอัตรากำไรที่สูงขึ้นจากการขึ้นค่าไฟฟ้าผันเเปร (Ft) และต้นทุนก๊าซที่ลดลง ทำให้กำไรของ BGRIM มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้

ทั้งนี้ อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) จากการขึ้นค่า Ft จะเร็วกว่าต้นทุนก๊าซที่ปรับขึ้น ขณะเดียวกันต้นทุนก๊าซที่ประหยัดได้ 6-10% จาก SPP ใหม่ 7 แห่ง ที่มีกำหนดทยอยเปลี่ยนมาใช้ไอน้ำในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 จนถึงปี 2566 รวมทั้งปริมาณไฟฟ้าและไอน้ำที่ขายให้แก่ผู้ใช้อุตสาหกรรมที่สูงขึ้น ส่วนมากมาจากความต้องการที่สูงขึ้นและ SPP ใหม่ 7 แห่ง

และการที่ต้นทุนก๊าซที่ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ในขณะที่ก๊าซจากแหล่งเอราวัณช่วยทดแทน LNG จากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น น่าจะทำให้ต้นทุนก๊าซจะลดลงเนื่องจากการผลิตในแหล่งเอราวัณฟื้นกลับ

การฟื้นตัวของ BGRIM ได้รับการการันตี โดยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส ที่เชื่อว่ากำไรปกติน่าจะดีดกลับอย่างเห็นได้ชัดในไตรมาส 1 ปีนี้ เนื่องจากการขึ้นค่า Ft ในระหว่างไตรมาสน่าจะช่วยชดเชยราคาก๊าซของ SPP ที่เพิ่มขึ้นเป็น 520 บาท/mmbtu

รวมทั้งคาดว่าราคาก๊าซของ SPP จะลดลงเป็นจำนวนมาก เหลือ 380 บาท/mmbtu ในไตรมาส 4 ปีนี้ จากการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นจากแหล่งเอราวัณ อ้างอิงที่ว่าการผลิตก๊าซในแหล่งเอราวัณน่าจะทยอยเพิ่มจาก 220 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (mmscfd) ในปัจจุบัน เป็น 400 mmscfd ภายในกลางปี 2566 และเป็น 600 mmscfd ภายในสิ้นปี 2566 ก่อนถึงปริมาณที่ระบุในสัญญาที่ 800 mmscfd ภายในกลางปี 2567

BGRIM มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 ได้เข้าซื้อหุ้น 49% ในโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ขนาด 20 MW ในญี่ปุ่น มีต้นทุนในการลงทุนรวม 358.2 ล้านบาท

จากการลงทุนต่าง ๆ ผู้บริหาร BGRIM คาดว่าจะได้กำลังการผลิตไฟฟ้าจากลมไม่เกิน 1,000 MW ในเกาหลีใต้ในช่วงปี 2566-2568 นอกจากนี้โรงไฟฟ้าพลังลมและแสงอาทิตย์ของ BGRIM ยังมีแนวโน้มที่กำลังการผลิตจะเติบโตเพิ่มจากการประมูลโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาด 5.2 กิกะวัตต์ (GW) ที่กำลังจะมีขึ้นในไทย พร้อมกับโรงไฟฟ้าพลังลมและโครงการผลิตไฟฟ้าจาก LNG ภายใต้แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าฉบับที่ 8 ฉบับใหม่ของเวียดนาม

ทั้งนี้ BGRIM ตั้งเป้ากำลังการผลิตรวมระยะยาวที่ 10 GW ในปี 2573 ซึ่งมากกว่า 50% จะมาจากพลังงานหมุนเวียน

ในมุมมองของบล.ฟินันเซีย ไซรัส แล้ว BGRIM น่าลงทุน ให้คำแนะนำ “ซื้อ” รวมทั้งได้ปรับราคาเป้าหมายเพิ่มเป็น 47 บาท ปรับเพิ่มประมาณการกำไรต่อหุ้นปี 2566 ขึ้น 8.6% เพื่อให้สอดคล้องกับสมมติฐานค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่สูงขึ้น 0.8-2.3% ในปี 2566-2567 พร้อมราคาก๊าซที่ลดลง 6.8-11% ในขณะที่สมมติฐานอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยลดลงจากความต้องการที่คาดว่าจะลดลง

ดู ๆ แล้ว ปี 2566 นี้ น่าจะเป็นปีที่สดใสสำหรับ BGRIM เลยทีเดียว!

Back to top button