พาราสาวะถี

นักการเมืองประเภทเสือหิวได้ยินข่าวคงเนื้อเต้นกับกรณีที่ ส.ว.บางรายปูดข้อมูลมีการเตรียมซื้อตัวงูเห่าหัวละ 100 ล้านบาทเพื่อจะพลิกเกมให้ไปยกมือหนุนฝ่ายเสียงข้างน้อยตั้งรัฐบาลให้ได้


นักการเมืองประเภทเสือหิวได้ยินข่าวคงเนื้อเต้นกับกรณีที่ ส.ว.บางรายปูดข้อมูลมีการเตรียมซื้อตัวงูเห่าหัวละ 100 ล้านบาทเพื่อจะพลิกเกมให้ไปยกมือหนุนฝ่ายเสียงข้างน้อยตั้งรัฐบาลให้ได้ เม็ดเงินที่อ้างว่าเตรียมจะทุ่มอยู่ที่ 6-7 พันล้านบาท ระดับนี้ขนหน้าแข้งไม่ร่วงสำหรับพวกอยากอยู่ยาว แค่ต่อสายหาผู้อุ้มชูกันมากว่า 9 ปีมีหรือใครจะกล้าปฏิเสธ ก็ช่วยเอื้อประโยชน์ให้กันบานตะไทขนาดนี้ แต่ปัญหาคือแค่พูดเล่นและอยากให้เป็นจริงของ ส.ว.ที่อกหักจากผลเลือกตั้ง หรือว่าจะมีปรากฏการณ์งูเห่ากินกล้วยเกิดขึ้นจริง ๆ

รูปรอยแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อคราวเลือกตั้งปี 2562 เพียงแต่หนนั้นอาศัยกลเกมสามานย์หลายด้าน ทั้งการอ้างเสียงที่พ่ายแพ้พรรคเพื่อไทยไม่ขาด การตีความคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จนเกิดเสียงวิจารณ์กันขรม  รวมไปถึงปมการยุบพรรคอนาคตใหม่ จนทำให้เกิดการแจกกล้วยอุตลุด และมีพวก ส.ส.ฝากเลี้ยงด้วย ทุกอย่างจึงอยู่ในภาวะหวานคอแร้ง แต่สำหรับการเลือกตั้งหนนี้ไม่ใช่ ฉันทามติของประชาชนเป็นสัญญาณบ่งชี้มีอะไรที่พลิกแพลงตะแคงฟ้า บ้านเมืองได้ลุกเป็นไฟแน่

ด้วยเหตุนี้เสียงจาก อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จึงยืนยันเป็นมั่นเหมาะ “ยุคสมัยนี้ไม่มีงูเห่าแล้ว ทำการเมืองแบบเก่าคงลำบาก” พร้อมบอกด้วยว่า การตั้งรัฐบาลต้องเป็นรัฐบาลที่เข้มแข็ง รัฐบาลเสียงข้างน้อยไม่น่ารอด รอวันตาย ใครจะไปทำสิ่งเหล่านั้น ทำเพื่อสะใจใคร ทำอะไรต้องยั่งยืน เพราะเป็นเรื่องบ้านเมือง ไม่สนับสนุนตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เป็นอันจบข่าว แต่เรื่องขั้วการเมืองจะเปลี่ยนหรือไม่ เสี่ยหนูไม่ได้พูดเพื่อให้ผูกมัดตัวเองว่าจะไม่มี

เพียงแต่ว่าเงื่อนไขของขั้วการเมืองที่จะเปลี่ยนนั้น ไม่ใช่ขั้วเดิมที่สนับสนุนขบวนการสืบทอดอำนาจเหมือนที่ผ่านมา หากแต่จะเป็นภูมิใจไทยจับมือกับเพื่อไทย พลังประชารัฐและอีกพรรคสองพรรคตั้งรัฐบาล เหมือนสูตรที่บอกไปวันก่อนว่า ข้อแม้คือก้าวไกลผนึกกำลังกับ 7 พรรคการเมืองแล้วไม่สามารถที่จะดันให้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก้าวถึงฝั่งฝันเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ได้ ไม่ว่าจะโหวตอย่างไรก็ไปไม่รอด ถึงจุดนั้นก็จำเป็นที่จะต้องตีจากกันไปพรรคหนึ่ง

ความเป็นไปได้ก็คือ ก้าวไกลต้องไปทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ไม่มีวันที่จะสังฆกรรมกับภูมิใจไทยได้ จุดขัดแย้งสำคัญเห็นกันอยู่แล้ว พรรคอันดับหนึ่งประกาศชัดนำกัญชากลับเข้าสู่บัญชียาเสพติด ไปไม่ได้กับแนวทางของพรรคเสี่ยหนูที่เดินหน้ากัญชาเสรี ขณะที่เรื่องแก้มาตรา 112 ภูมิใจไทยก็ออกแถลงการณ์ไม่สนับสนุนพรรคที่มีแนวคิดเช่นนี้ แค่สองประการก็เด่นชัดเป็นอย่างยิ่งไม่มีทางที่จะร่วมงานกันได้ การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกประธานสภาฯ ในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้จึงน่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง

หากทุกอย่างราบรื่นเรียบร้อย คนของก้าวไกลได้เก้าอี้ไปครอง เพื่อไทยขอตำแหน่งรองประธานสภาฯ ทั้งสองเก้าอี้สำเร็จ หมายความว่าทั้ง 8 พรรคที่เซ็นเอ็มโอยูร่วมกันจะเดินหน้าผลักดันพิธาให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะใช้ระยะเวลาในการโหวตเลือกนายกฯ กี่รอบ กี่วันก็ตาม โดยจะพยายามทำอย่างเต็มที่ ถ้าไม่สำเร็จก็จะใช้สูตรสองคือการดึงพลังประชารัฐเข้าร่วม ด้วยเงื่อนไขที่มี ส.ส.อยู่ในมือ 40 เสียงอยู่แล้ว หา ส.ว.มาเติมอีก 24 เสียงจึงไม่ใช่เรื่องยาก และพรรคสืบทอดอำนาจไม่ได้มีการตั้งการ์ดสูงเหมือนภูมิใจไทย

สำหรับโอกาสที่เพื่อไทยจะตัดหางก้าวไกลทิ้งนั้นไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นโดยง่ายเป็นอันขาด จะต้องสู้ร่วมกันจนวินาทีสุดท้าย เนื่องจากมีฉันทามติของประชาชนค้ำคออยู่ ต้องร่วมหัวจมท้ายกันให้ถึงที่สุด เห็นได้จากการสรุปบทเรียนเลือกตั้งที่ นพดล ปัทมะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธานคณะทำงานถอดบทเรียนการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาของพรรคได้ยืนยันว่า สรุปผลของความพ่ายแพ้เสร็จแล้ว มันเป็นการบ่งบอกถึงว่า พรรคนายใหญ่ได้สรุปบทเรียนเพื่อมองไปถึงการเลือกตั้งครั้งต่อไปแล้ว

จากพรรคอันดับสองที่แผนแลนด์สไลด์ถูกทำลาย เสียงสะท้อนจากผู้สมัครที่สอบตกหลายพื้นที่รู้กันดีว่าเกิดจากอะไร ซึ่งถือเป็นโจทย์ไม่ยากที่จะแก้ เพียงแต่หนนี้ประมาทกันไปมากจึงทำให้พลาดเป้าอย่างไม่คาดคิด แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น ท่าทีไอ้เสือถอยจากเก้าอี้ประธานสภาฯ บรรดาคอการเมือง รวมทั้งคนในพรรคเพื่อไทยต่างก็รับรู้กันว่า ขืนดันทุรังกันต่อไป หากตัวเองกลับมาเป็นพรรคอันดับ 1 บ้าง มันจะทำให้เป็นปัญหาในอนาคต

จึงต้องรอดูการเคาะของที่ประชุมหัวหน้า 8 พรรคร่วมตั้งรัฐบาลจะไปในทิศทางใด หากก้าวไกลแสดงบทบาทถือธงนำอย่างสง่างาม ไม่มีเสียงจากบรรดาลูกพรรคร่วมคอยค่อนขอด กระแนะกระแหน นั่นคือสัญญาณการก้าวเดินกันไปให้สุดทางตามเสียงที่ประชาชนอยากจะเห็น แนวโน้มก็จะเป็นไปเช่นนั้น ขณะเดียวกัน มีการเตือนว่าให้รอดูผลการพิจารณาคดีหุ้นไอทีวีของพิธาที่ กกต.กำลังเร่งดำเนินการอยู่เวลานี้ ซึ่งจะมีการเรียกเจ้าตัวไปชี้แจงด้วย

ความเป็นไปได้ที่จะออกมามีอยู่แค่ 2 ทางคือ ยกคำร้องไม่ดำเนินการต่อทั้งส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติของพิธา รวมทั้งการดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 151 ของกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. หรือส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ เมื่อพิจารณาจากเรื่องราวที่ดำเนินการตั้งแต่ต้นจนถึงปมความไม่ชอบมาพากลต่อการจะฟื้นความเป็นสื่อของไอทีวี งานนี้พวกเชียร์อนุรักษนิยมสุดโต่งน่าจะกินแห้ว เพราะ กกต.ไม่น่าจะใจถึงพอที่จะเอาตัวเองไปเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง ยิ่งมีคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งที่ผ่านมา ชัดเจนแล้วว่าการถือหุ้นสื่อตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญแบบไหนถึงจะมีความผิด

หันกลับไปดูความเป็นไปได้เรื่องขั้วอำนาจเก่าจะกลับมามีอำนาจ ไม่เพียงแต่ยากด้วยจำนวนเสียง ส.ส.ที่แต่ละพรรคได้มา แม้อาจจะมองว่าจำนวนตั้งต้นก็มีถึง 188 เสียงแล้ว แต่อย่าลืมว่าพรรคประชาธิปัตย์วันนี้กำลังมองหาหัวหน้าพรรคคนใหม่ ซึ่งดูทิศทางไม่น่าจะพลาดว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะกลับมากอบกู้ศักดิ์ศรีและศรัทธาของพรรคคืนมา ถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าเป็นการตัดขาดจากเผด็จการสืบทอดอำนาจในทันที เช่นนี้แล้วทุกอย่างจึงเอวัง!

Back to top button