บทเรียน เรื่องการสื่อสารของผู้นำตลท. กรณี Naked Short Selling

ประเด็นธุรกรรม Naked Short Selling หรือ การขายหุ้น (short sell) ออกไปโดยที่คนขายไม่มีหุ้นตัวนั้นอยู่จริง และต้องรีบทำการซื้อคืนกลับมาภายในวันเดียวกัน หวังกินส่วนต่าง เพื่อจะได้ไม่ต้องมีการส่งมอบหุ้นกันจริง ๆ เนื่องจากคนขายไม่ได้มีหุ้นอยู่จริง นั้น ถือเป็นธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์


ประเด็นธุรกรรม Naked Short Selling หรือ การขายหุ้น (short sell) ออกไปโดยที่คนขายไม่มีหุ้นตัวนั้นอยู่จริง และต้องรีบทำการซื้อคืนกลับมาภายในวันเดียวกัน หวังกินส่วนต่าง เพื่อจะได้ไม่ต้องมีการส่งมอบหุ้นกันจริง ๆ เนื่องจากคนขายไม่ได้มีหุ้นอยู่จริง นั้น ถือเป็นธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

เหมือนกรณี การปั่นหุ้น สร้างราคาหุ้น เคาะ offer ของบุคคลในกลุ่มเดียวกัน วาง bid-offer ขวาง หรือ การเคาะซื้อหุ้นแบบรวบทีเดียว 8 ช่อง ฯลฯ

แต่ด้วยความที่ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ด่วนสรุป ตอบคำถามผู้สื่อข่าว อย่างรวดเร็วว่า “ไม่พบการทำ naked short” 

นี่คือความปากไว แทนที่จะหาข้อมูลก่อนตอบ หรือให้ลูกน้องไปเช็กก่อนว่า ข้อมูลนี้มาจากไหน ใครเป็นคนปล่อยออกมาคนแรก 

โดยฝั่งที่บอกข้อมูลว่า naked short มีจริงแแบบมีหลักฐาน และทำลายหุ้นให้ปรับตัวลดลง คือ “เสี่ยยักษ์ วิชัย วชิรพงศ์” ที่ประกาศออกสื่อ และมีคนแชร์ข้อมูลไปทั่ว ทำให้ทุกคนเชื่อว่า ตลาดหุ้นไทยร่วงลง เพราะ naked short ไม่ใช่ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ที่ลดลงต่ำกว่าคาด

ปัญหาดังกล่าว ทำให้ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องรับเผือกร้อนนี้ไปเต็ม ๆ แบบปฏิเสธไม่ได้ ทั้งที่ naked short เป็นธุรกรรมที่พบได้ในตลาดหุ้นทั่วโลก แต่ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และเป็นเรื่องระหว่างบริษัทหลักทรัพย์ กับลูกค้า (ที่ทำธุรกรรม) ต้องรับผิดชอบ 

สิ่งที่ตลท.ควรประกาศในการแถลงข่าววันแรก คือ “ใครที่ทำ naked short ในตลาดหุ้นไทย ถือว่า ผิดกฎหมาย มีโทษปรับ และสูงสุด คือให้พักการซื้อขาย” 

ไม่ใช่ตอบว่า “ไม่พบธุรกรรม naked short ในตลาดหุ้นไทย”

หลังจากนั้น ตลท.ควรทำการสืบค้นข้อมูลว่า ข้อมูลดังกล่าวมาจากทางไหน คือ โทรไปถาม “เสี่ยยักษ์” ที่อ้างอิงบริษัทจดทะเบียนที่ว่าเป็นเพื่อนสนิท เอาหุ้นไปฝากไว้ที่โบรกเกอร์ต่างประเทศไหน จะได้ เอาข้อมูลตรงนี้มาใช้ขยายผล 

เพราะในเมื่อเสี่ยยักษ์ เป็นคนชี้เป้าให้ขนาดนี้แล้ว ทำไมจะไม่ให้ความร่วมมือ เพราะการพูดออกสื่อ เขียนข้อความออกสื่อ มีเจตนาต้องการให้ความช่วยเหลือทางการอยู่แล้ว 

ในเมื่อหลักฐานมันมีอยู่แล้ว (ตามที่อ้าง) ควรจะเริ่มต้น สืบค้นจากตรงนั้นก่อน ดีกว่าเสียเวลา ไปตรวจสอบแหล่งที่ไม่ได้มีการกระทำผิด แล้วไม่พบธุรกรรม แล้วออกมาบอกว่า ไม่พบธุรกรรม naked short ก็ไม่ได้ 

“จะได้เกาถูกที่คัน” ยิ่งภายหลังการตรวจสอบพบความผิดจริง มีความเดือดร้อนจากเจ้าของบริษัทจดทะเบียนจริง ตลท.ก็จะได้เข้าไปแก้ไขปัญหา และจับผู้กระทำผิด 

จากนั้น ก็ตั้งโต๊ะแถลงข่าว ขอบคุณเสี่ยยักษ์ กันไปเลยก็ไม่ถือเป็นการกระทำที่เกินเลย และสามารถยกเป็นตัวอย่างในการแจ้งแบะแส ต่อนักลงทุนคนอื่น ๆ

แต่ถ้า “ไม่จริง” ก็ไปว่ากันอีกที ถือเป็นการตรวจสอบคนให้ข้อมูลไปในตัว ไม่เช่นนั้น อีกหน่อยจะมีเคสลอย ๆ ที่ไม่มีหลักฐานออกมาอีก ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ต้องมานั่งตามเช็ก ตามล้าง ข้อมูลที่จริงบ้าง เท็จบ้าง และเป็นบ่อนทำลายความเชื่อขององค์กรที่ถูกสร้างมายาวนาน 48 ปีให้ทลายลงในพริบตา

สรุปความ ตลท. ควรให้ข้อมูลว่า ธุรกรรม Naked Short Selling เป็นธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย และเกิดขึ้นทั่วโลก ฉะนั้นหากการตรวจสอบพบการกระทำดังกล่าว จะมีบทลงโทษทันที

โดยผลงานก่อนหน้านี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จับเคส naked short มาแล้วไม่ต่ำกว่า 4 ราย คือ  1.บล.เอเชีย เวลท์ ถูกปรับไป 5.85 ล้านบาท 2.บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ ถูกปรับไป 1.05 ล้านบาท 3.บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ถูกปรับไป 1.05 ล้านบาท 

โดย 3 เคสแรก เป็นนักลงทุนชาวสิงคโปร์คนเดียว ที่ย้ายโบรกเกอร์ไปทำธุรกรรมดังกล่าว 3 แห่ง ในขณะที่ เคสล่าสุดเมื่อเดือน กรกฎาคม 2566  บล.คิงส์ฟอร์ด ถูกปรับ 1.8 ล้านบาท อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของมาร์เก็ตติ้ง ที่ไปทำออร์เดอร์เกินจากที่ลูกค้าสั่ง

กรณีเคส ที่จับได้เหล่านี้ ถือเป็นผลงานที่ตลท.ควรเอาออกมาบอกกล่าวให้ทราบกันบ้างว่าที่ผ่านมา ทำงานแล้วมีผลงานอะไร

ไม่ใช่นั่งรอให้ สำนักงานก.ล.ต. มาออกข่าวโยนบาปให้กับ ตลท.ที่ทำงานช้า โดยนางสาว จอมขวัญ คงสกุล รองเลขาธิการ ก.ล.ต. ไปให้สัมภาษณ์ประเด็น “ก.ล.ต. จี้ ตลท. เร่งแก้ปม ชอร์ตเซล-โปรแกรมเทรดดิ้ง หลังให้อำนาจเต็มที่” 

ทั้งที่ก.ล.ต. ก็ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนของ บล. ไม่แพ้กับ ตลท. ซึ่งทางสำนักงานก.ล.ต.ก็รู้ดีอยู่แล้วว่า การทำงานในเรื่องของฝ่ายตรวจสอบ แต่ละเคสกว่าจะตรวจสอบและลงโทษผู้กระทำผิดได้ ต้องใช้เวลา 3-5 ปี แล้วการประกาศออกสื่อ เพื่อโยนภาระความรับผิดชอบให้กับ ทางตลท.ผ่านการใช้สื่อแบบนี้ ดูไม่สง่างามเลย โดยเฉพาะเพิ่งมีเลขาฯ คนใหม่ที่เป็นถึงครูบาอาจารย์มานั่งบัญชาการอยู่หัวโต๊ะด้วย

Back to top button