KBANK กำไรเป็นที่หนึ่ง

ผลประกอบการงวดสิ้นปี 66 ของธนาคารที่มีกำไรสูงสุดสองปีซ้อนต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 คงทำให้บรรดาผู้ถือหุ้น ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ยิ้มกันออกมาได้


ผลประกอบการงวดสิ้นปี 2566 ของธนาคารที่มีกำไรสูงสุดสองปีซ้อนต่อเนื่องเป็นปีที่สามคงทำให้บรรดาผู้ถือหุ้นของ KBANK หรือ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ยิ้มกันออกมาได้เพราะมีกำไรสุทธิอันดับหัวแถวต่อไปหลังจากงวดกลางปีทำหวาดเสียวเมื่อกำไรสุทธิลดลง แต่การฟื้นคืนกำไรสุทธิในสองไตรมาสหลังของปีกลับมาฟื้นตัวขึ้นได้ ทำให้อัตรากำไรสุทธิกลับมาโดดเด่นเหนือความคาดหมายกำไรสุทธิงวดสิ้นปีที่ระดับ 4.24 หมื่นล้านบาท เติบโตมากกว่าปีก่อนถึงเกือบ 20% และกำไรต่อหุ้นมากขึ้นที่ 17.00 บาท จากปีก่อนที่ระดับ 14 บาท 

ช่วยทำให้ KBANK ยังคงรักษาแแชมป์กำไรสุทธิได้อีกทั้งที่ผู้บริหารยังคงแสดงถึงการระวังต่ออนาคตของปีใหม่นี้ต่อไปแต่ทำให้ผู้ถือหุ้นมั่นใจมากขึ้นว่าราคาตามบุ๊กแวลูที่สูงถึง 230 บาท จะยังคงทำให้ราคาตลาดของธนาคารนี้ยังคงถูกเสมอเมื่อคิดจากพื้นฐานของผลประกอบการของธนาคารที่ยังคงรักษาอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิไว้ ตามสูตร x+5% ไว้ได้ (ค่า x คือค่าจีดีพีของประเทศ)

ถึงแม้ว่านักวิเคราะห์จะมีมุมมองเชิงลบต่อผลงานของฝ่ายบริหารทำได้ต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ระดับ 20% จากการที่ลูกค้ารายใหญ่อย่าง ITD มีปัญหาการชำระหนี้หุ้นกู้ออกไป แต่คนที่เชื่อใจในกระบวนการของธนาคารย่อมรู้ดีว่า ความเสียหายดังกล่าวจะกลับคืนมาได้หากปัญหาได้รับการแก้ไขให้ลุล่วงได้ในอนาคต

ที่จะมีการบันทึกกลับของความเสียหายคืนมาได้ไม่ยากนักจากสิ่งที่เรียกกันว่า บริหารสินเชื่อเชิงรุกนั้นเอง

ดังนั้นการวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์ต่อการดำเนินงานที่ระบุว่าส่งสัญญานการถดถอยของคุณภาพของสินทรัพย์ขาดทุนทางเครดิตว่าจะเกิดความเสี่ยง (ECL) และต้นทุนความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ (Credit cost) ปรับตัวขึ้น

การเติบโตของสินเชื่อและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อยอดขายในปี 2567-2568 เป็นปัจจัยเสี่ยงก่อให้เกิด Downside แก่ประมาณการ จึงเป็นมุมมองที่เกินเลยไป

ทั้งนี้เพราะการคาดเดาผลประกอบการตลอดทั้งปี 2567 ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิอีกถึง 57,945 ล้านบาท ก็ยังเป็นการคาดเดาว่ากำไรสุทธิของ KBANK จะยังเติบโตอีก มากกว่า 10%

ซึ่งสูงกว่าจีดีพีของประเทศที่คาดหมายว่าจะเติบโตต่ำเพียงแค่ 3% เท่านั้น

การเติบโตของกำไรสุทธิที่ยังคงเป็นสูตร (x+5%) น่าจะถือได้ว่าสูงกว่ามาตรฐานของตลาดทั่วไปได้และหากมองว่าราคาหุ้นที่ต่ำเพียงแค่ระดับ 120 บาทนั้นต่ำกว่ามาตรฐานที่มากกว่า 45% ก็เพียงพอแก่การเข้าซื้อ

ขณะที่ราคาต่ำเกินห้ามใจจะหวังให้มากกว่านี้ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์เกินเหตุพอสมควร

Back to top button