ตลาดหุ้นไทยยังคงมีเสน่ห์

มุมมองของผู้บริหารตลาดหุ้นไทย ที่มองสวนกระแสว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงมีเสน่ห์ เพราะต่างชาติคุ้นชินกับความไม่แน่นอนของการเมืองไทยอยู่แล้ว


มุมมองของผู้บริหารตลาดหุ้นไทย ที่มองสวนกระแสว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงมีเสน่ห์ เพราะต่างชาติคุ้นชินกับความไม่แน่นอนของการเมืองไทยอยู่แล้ว  อาจเป็นมุมมองที่แปลกประหลาดแต่ก็น่ารับฟัง

อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากการที่ได้พูดคุยกับนักลงทุนต่างประเทศที่ผ่านมาและงาน Thailand Focus 2025 เมื่อปลายเดือนสิงหาคมนี้ ระบุว่า นักลงทุนต่างชาติคุ้นเคยกับการเมืองไทย ที่มีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่ ในทางกลับกันเศรษฐกิจไทยยังเดินหน้าได้ต่อ โดยเศรษฐกิจไทย ถือเป็นเศรษฐกิจใหม่ในอาเซียน แม้อายุรัฐบาลจะสั้น แต่การเมืองจะไม่เป็นอุปสรรคกับตลาดทุน ความไม่แน่นอนทางการเมืองเริ่มมานานแล้ว

แต่วันนี้ชัดเจนขึ้นการที่ Fund Flow เข้ามาเพราะมองเศรษฐกิจไทยยังน่าสนใจ เค้ามอง Valuation อยู่ระดับที่น่าสนใจที่มี upside และ dividend วันนี้กลับเข้ามาซื้อ ส่วนความเสี่ยงด้านการเมืองตลาดหุ้นคาดหวังได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศต้องการเห็นนโยบายที่ชัดเจน ขณะที่หุ้นไอพีโอเชื่อว่าน่าจะมีหุ้นที่น่าสนใจเข้ามาภาย ในปีนี้หรืออย่างช้าก็ปีหน้าหลังจากเห็นความชัดเจนทางการเมือง นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ก็ยังเดินหน้าโครงการ Jump+ ขณะนี้มีบจ.ที่เข้าร่วมแล้ว 35 บริษั

อย่างไรก็ดีโครงการ G-Token และโครงการ Bond Connect Platform จะเดินหน้าต่ออย่างไรหากมีการเปลี่ยนรัฐบาล โดยโครงการ G-Token ยังไม่เห็นความชัดเจนต้องรีบประสานกับกระทรวงการคลังว่า จะเดินหน้าต่อหรือไม่ ส่วนโครงการ Bond Connect ตลาดอาจผลักดันต่อ

ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจัยการเมืองขณะนี้มีความชัดเจนมากขึ้น รอรัฐบาลใหม่แถลงนโยบาย ซึ่งก็สบายใจได้เพราะงบประมาณรายจ่ายปี 69 ได้ผ่านสภาแล้ว รัฐบาลใหม่ก็จะมีเครื่องมือทางการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินหน้าได้ โดยปัจจัยเสี่ยงในครึ่งปีหลังคือเรื่องการส่งออกแต่ก็มีข้อดีที่ภาครัฐมีงบประมาณสนับสนุน  และขณะที่คาดการณ์กันว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะมีการปรับลดดอกเบี้ย 2ครั้งในปีนี้ คือการประชุมเดือนกันยายนและพฤศจิกายน  แต่คณะกรรมการกำกับการเงิน (กนง.)คาดว่าจะไม่มีการปรับลดดอกเบี้ยอีกแล้วในปีนี้หลังปรับลดดอกเบี้ยไป 1 ครั้งแล้ว

สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยเป็น 2% จากเดิมที่คาดไว้ 1.8% ตามการเร่งส่งออกสินค้าก่อนที่ภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐมีผลบังคับใช้ แม้ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP) ในไตรมาส 2/2568 ขยายตัว 2.8% ชะลอลงจาก 3.2% ในไตรมาส 1/2568  ปัจจัยหลักเกิดจากการชะลอตัวของการผลิตนอกภาคเกษตร โดยเฉพาะกลุ่มบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว

ภาพรวมกำไรสุทธิไตรมาส 2/2568 ของบริษัทจดทะเบียนเติบโตต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีผลการดำเนินงานดีกว่าคาดปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ความสำเร็จของงานไทยแลนด์โฟกัส 2025และผลตอบแทนหุ้น IPO ที่เริ่มฟื้นตัวในเดือนที่ผ่านมาสะท้อนถึงความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทย

ข้อมูลด้านบวกจากผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ดังกล่าว น่าจะเพียงพอให้เกิดความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทยอีกะลอกหนึ่ง

Back to top button