พาราสาวะถี

ปรับท่าทีจากยังแฮปปี้กับรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลชุดนี้อยู่ เมื่อถูกถามถึงการปรับ ครม. มาเป็น “มีการพิจารณาอยู่ในใจ” คำยืนยันจากปากเช่นนี้ของ แพทองธาร ชินวัตร


ปรับท่าทีจากยังแฮปปี้กับรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลชุดนี้อยู่ เมื่อถูกถามถึงการปรับ ครม. มาเป็น “มีการพิจารณาอยู่ในใจ” คำยืนยันจากปากเช่นนี้ของ แพทองธาร ชินวัตร เป็นไปตามที่บอกไว้ก่อนหน้าว่าหลังร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ผ่านวาระแรกของสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว จะต้องมีการเขย่าเก้าอี้เสนาบดีตามความต้องการของพ่อนายกฯ ด้วยเหตุผลเพื่อสร้างผลงานให้เป็นที่ปรากฏ และลงหลักปักฐานให้แน่นหนาหวังผลต่อการเลือกตั้งครั้งหน้าที่เหลือเวลาอีกแค่ 2 ปี

แนวโน้มปรับใหญ่ทั้งคณะเหมือนที่เป็นเงื่อนไขมาจากพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ แม้นายกฯ หญิงยังจะสงวนท่าที แต่การที่บอกว่าเมื่อถึงเวลาปรับต้องเรียกหัวหน้าและแกนนำของทุกพรรคมาคุยกัน นั่นเป็นสัญญาณชี้ชัดว่า ต้องมีการล้างไพ่กันล็อตใหญ่ ทั้งจากปัจจัยการขอเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคืนจากพรรคสีน้ำเงิน รวมไปถึงความระส่ำระสายภายในพรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้งหมดเข้าทางพรรคแกนนำในการที่จะขอขยับปรับเปลี่ยนเพื่อให้เกิดความเหมาะสม

งานนี้โควตารัฐมนตรีคงอยู่ที่จำนวน สส.ที่แต่ละพรรคจะต้องนำเสนอต่อวงหารือ ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่ข้อแลกเปลี่ยนระหว่างเพื่อไทยกับภูมิใจไทย การไปขอเก้าอี้ มท.1 คืนมาจาก อนุทิน ชาญวีรกูล ทั้งที่เจ้าตัวประกาศไว้แล้วว่าต้องออกแรงมากหน่อย นั่นย่อมเป็นการตั้งการ์ดสูง ส่งซิกให้พรรคแกนนำต้องยื่นข้อเสนอที่สมน้ำสมเนื้อ ตามความประสงค์เดิมที่อยากจะกลับไปเป็นคุณหมอคุมกระทรวงสาธารณสุข ทว่า นายใหญ่ยังพอใจกับผลงานของ สมศักดิ์ เทพสุทิน จึงทำให้เสี่ยหนูอาจต้องไปสวมบทคุณครูแทน

ด้วยการนั่งรองนายกฯ ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ถือเป็นกระทรวงใหญ่ งบประมาณเยอะ แต่ศักดิ์ศรี บารมีเมื่อเทียบกับความเป็นเจ้ากระทรวงคลองหลอดหรือสาธารณสุขแล้วถือว่าน้อยกว่ากันมาก ดังนั้น เพื่อไทยจึงจำเป็นที่จะต้องเพิ่มออปชั่นเสริมเพื่อให้การต่อรองไม่ติดขัด ด้วยการมอบเก้าอี้รัฐมนตรีให้อีก 1 ตำแหน่ง ซึ่งน่าจะเป็นช่วยว่าการในกระทรวงเกรดเอเหมือนกัน ถือว่าไม่เสียหาย หากการจัดสรรตำแหน่งในส่วนของรวมไทยสร้างชาติมีปัญหา

ประเด็นสำคัญของการปรับ ครม.รอบนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องเงื่อนเวลา จะเกิดขึ้นก่อนที่ ทักษิณ ชินวัตร จะต้องไปลุ้นชะตากรรมปมชั้น 14 ตามที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองนัดหมายในวันศุกร์หน้า 13 มิถุนายนนี้หรือไม่ หากเป็นไปตามนั้น ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่า พ่อนายกฯ ต้องการจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย สร้างเสถียรภาพของรัฐบาลลูกสาวให้มั่นคง โดยยังไม่รู้ว่าผลจากคดีของตัวเองจะออกหัวออกก้อย อย่างน้อย การได้คุมกระทรวงที่หวังผลต่อการเลือกตั้งได้ย่อมเป็นการกุมความได้เปรียบไว้ล่วงหน้า

ขณะเดียวกัน ยังไม่รู้ว่าพรรคที่ทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองตลอดเวลาที่ร่วมรัฐบาลกันมาอย่างภูมิใจไทย จะแสดงฤทธิ์เดชอะไรอีกหรือไม่หลังจากนี้ ดังนั้น เพื่อการันตีไม่ให้เกิดความวุ่นวายการรวบรัดตัดตอนปรับ ครม.กันเสียแต่ตอนนี้ จะได้เป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลม ส่วนอุบัติเหตุทางการเมืองอื่นซึ่งในที่นี้มีแค่สองประเด็นคือ ยุบสภาหรือรัฐประหาร ยังมองไม่เห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น กรณีแรกถ้าต้องเลือกตั้งใหม่ พรรคจากรัฐบาลพลิกขั้วไม่มีพรรคไหนอยู่ในฐานะได้เปรียบแม้แต่พรรคเดียว

ในทางตรงข้าม จะไปเข้าทางพรรคประชาชนที่อยากให้มีการหย่อนบัตรวันนี้พรุ่งนี้ ตราบใดที่รัฐบาลยังผลงานไม่เปรี้ยงปร้าง เท่ากับเป็นการช่วยเติมความต้องการของประชาชนให้อยากได้พรรคที่หวังว่าจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปโดยปริยาย นั่นจึงทำให้ไม่ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะเป็นไปในรูปแบบใดก็ตาม รัฐบาลผสมพลิกขั้ว มีความจำเป็นที่จะต้องช่วยกันประคับประคองอยู่ด้วยกันไปให้ได้นานที่สุด แม้จะดำเนินไปในลักษณะถูลู่ถูกังก็ตาม

ส่วนการรัฐประหารคงไม่มีใครกล้ารับรองว่าจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้น แต่ปัญหาของประเทศที่กำลังเผชิญอยู่เวลานี้ ไม่เอื้อที่จะให้ฝ่ายผู้นำกองทัพกระทำการเหมือนเช่นเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมาได้อีก แม้ว่าขณะนี้จะมีความพยายามปั่นกระแสเรื่องความขัดแย้งระหว่างกองทัพกับฝ่ายการเมือง ว่าด้วยความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา แต่ทุกอย่างมันก็ไม่ได้หนักหน่วง รุนแรงถึงขั้นที่กลายเป็นความบาดหมาง ไม่พอใจระหว่างกัน แนวทางที่ใช้อยู่ถือว่าเป็นครรลองที่จะต้องเดิน

การพยายามผูกโยงความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลชินวัตรกับตระกูลฮุน มันก็เป็นเรื่องของพวกขาประจำที่ต้องการสร้างแนวร่วมเพื่อก่อให้เกิดความเกลียดชัง ผสมโรงกับคนในซีกรัฐบาลบางพวกที่นำไปสร้างประเด็นเพื่อหวังผลทางการเมือง ถึงขนาดที่แพทองธารต้องพูดด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม จริงจังในที่ประชุม ครม.เมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า “อยากให้แยกแยะ เรื่องของบ้านเมืองกับเรื่องทางการเมืองออกจากกัน ไม่อยากให้พวกเดียวกันนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นคอยแซะกันเอง”

เช่นเดียวกับตอนแถลงข่าวที่นายกฯ หญิง ย้ำเรื่องนี้หนักแน่น ถึงจะสนิทกับฝ่ายกุมอำนาจของเขมร แต่จะมาขอบ้านกันไม่ได้ นอกจากนั้นยังแสดงท่าทีขึงขังต่อการที่ถูกถามถึงท่าทีรัฐบาลท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยการยกเอาเนื้อหาจากเพลงชาติไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด มาย้ำเตือนด้วยว่า ไม่มีใครต้องการให้เกิดสงคราม ทุกอย่างต้องว่ากันไปตามขั้นตอนผ่านการเจรจา พูดคุยก่อน แต่หากจำเป็นที่จะต้องสู้รบรัฐบาลและกองทัพพร้อมที่จะรักษาความปลอดภัยให้กับคนไทยทุกคนอย่างแน่นอน

ภาษากายและการแสดงออกของแพทองธารในการแถลงข่าวหนนี้ ต่อปมความขัดแย้งดังกล่าว เหมือนเป็นการส่งซิกให้รู้ว่าสื่อบางสำนักตั้งคำถามแบบมีวาระซ่อนเร้น การเดินไปหานักข่าวที่ถามประเด็นชายแดนพร้อมกับพูดว่า “จะมาถามว่ามีอะไรหรือเปล่า หายไปไหนแล้ว เขาโกรธอะไรหรือวันนี้ หน้าเขาดูเหวี่ยงมากเลยจึงเดินมาดูว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่า เพราะพี่อ้วน (ภูมิธรรม) ไม่ชวนลงพื้นที่หรือ งง เพราะเขากระฟัดกระเฟียด” ก่อนที่เพื่อนนักข่าวจะชี้แจงว่า ไม่ใช่เสียงเขาเป็นเช่นนั้นไม่มีใครโกรธ นายกฯ ออกอาการชนิดไม่กลัวถูกโจมตีว่าคุกคามสื่อ นั่นย่อมรู้ว่าไผเป็นไผ และใครกำลังเล่นเกมอะไรกันอยู

อรชุน

Back to top button