
ตำแหน่งรมว.พลังงาน
แม้ไม่มีเรื่องความขัดแย้งแยกตัวของส.ส.ภายในพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่เก้าอี้รัฐมนตรีพลังงานของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาคก็สั่นคลอนอย่างมากทีเดียว...
แม้ไม่มีเรื่องความขัดแย้งแยกตัวของส.ส.ภายในพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่เก้าอี้รัฐมนตรีพลังงานของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาคก็สั่นคลอนอย่างมากทีเดียว…
กรณีนายสนธิญา สวัสดี ร้องป.ป.ช.ให้ไต่สวนนายพีระพันธุ์ว่า ยังคงถือครองหุ้นใน 4 บริษัท เอกชน และทั้ง 4 บริษัทต่างก็มีข้อระบุในบริคณห์สนธิข้อหนึ่งไว้ชัดเจนว่าประกอบธุรกิจการพิมพ์และสิ่งพิมพ์…
อันเป็นข้อห้ามตามรัฐธรรมนูญ 2560 เช่นเดียวกับที่สมัคร โดนข้อหาเป็นลูกจ้าง และธนาธร ถือครองหุ้นสื่อเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีข้อหาผิดจริยธรรมร้ายแรง กรณีแจกถุงยังชีพ
สถานะของคดีในปัจจุบัน ป.ป.ช.นัดนายพีระพันธุ์ไปให้การแล้ว เมื่อกลางเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา แต่พีระพันธุ์แจ้งติดราชการที่สปป.ลาว และพีระพันธุ์ก็ยังไม่มีคำชี้แจงออกสู่สาธารณะแต่อย่างใด
ว่ากันถึงผลงงานเกือบ 2 ปีบนเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของนายพีระพันธุ์ ก็ได้รับการกล่าวขานถึงอย่างมากในเรื่องของผลงานการตรึงราคาและการปรับลดค่าไฟฟ้า
ภาพที่เห็นภายนอก ก็ดูน่าชื่นชมอยู่หรอกนะครับ แต่เบื้องหลังภาพสวยหรู มันก็น่าคิดว่า เป็นการแก้ปัญหาอย่างจิรังยั่งยืน ไม่ใช่แบบขายผ้าเอาหน้ารอดหรือเปล่า และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ต้องเข้าแบกรับภาระ “ต้นทุน” โดยสมเหตุสมผลมากน้อยเพียงใด
การลดหรือตรึงค่าไฟครั้งที่ 1 เมื่อปี 67 ที่ผ่านมา ใช้เงิน 6,000 ล้านบาท อุ้มค่าไฟ โดยปตท.เป็นผู้จ่ายจากผลกำไรของโรงแยกก๊าซ อันนี้เป็นการแบมือขอกันไปดื้อ ๆ เลย ตามความต้องการของรัฐมนตรีพลังงาน
ครั้งที่ 2 รัฐมนตรีพลังงานในฐานะประธานกบง. สั่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ให้เข้าแบกรับภาระต้นทุนประมาณ 1 แสนล้านบาท โดยการติดค้างค่าเชื้อเพลิงกับปตท.ไว้ก่อน ค่อยหาทางผ่อนชำระภายหลัง
ครั้งที่ 3 รัฐมนตรีใช้มาตรการชอร์ตฟอล (Shortfall) อุ้มค่าไฟโดยให้ปตท.เจ้าเก่าจ่ายค่าปรับ 4,300 ล้านบาท จากการที่ปตท.ส่งมอบก๊าซอ่าวไทยซึ่งมีราคาถูกกว่า LNG ได้ต่ำกว่าสัญญา
สัญญาฯ ระบุ ต้องส่งมอบวันละ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตจากแหล่งเอราวัณ แต่ปตท.ส่งมอบได้เพียง 200 ล้านลูกบาศก์ฟุต เนื่องจากปตท.สผ.เข้าพื้นที่ล่าช้าถึง 2 ปี เพราะกระทรวงพลังงานเจรจากับเชฟรอนผู้รับสัมปทานเดิมยืดเยื้อไม่ทันเวลา
ความผิดพลาดไม่น่าจะอยู่ที่ปตท.นะ!
ครั้งที่ 4 นี่ก็มโหฬารพันลึกทีเดียว กระทรวงพลังงานงัดมาตรการ Claw Back เรียกเงินคืนจากผลประโยชน์ส่วนเกินของ 3 การไฟฟ้าทั้ง กฟผ. กฟภ. และ กฟน. คิดเป็นเงิน 12,198 ล้านบาท ลดค่าไฟได้ 0.17 บาท/หน่วย จึงกลายมาเป็นค่าไฟ 3.98 บาท/หน่วยในทุกวันนี้
เรียกว่าเตะรวบทั้ง 3 การไฟฟ้า โดยใช้คำว่าเรียกคืนผลประโยชน์ส่วนเกิน ซึ่งโดยแท้จริงก็คือ นำเงินจากวงเงินลงทุนที่ยังไม่ได้ใช้จริงมาใช้อุ้มค่าไฟนั่นแหละ มันยุติธรรมกับ 3 การไฟฟ้าฯ ไหม ก็ลองตรองดูกันเอาเอง
ครั้งที่ 5 มาตรการอุ้มค่าไฟบายพีระพันธุ์ จะเป็นอย่างไร ยังไม่รู้ และพีระพันธุ์ยังจะมีโอกาสอีกหรือไม่ เนื่องจากขณะนี้พรรคแตกเป็นเสี่ยง จะต้องเกลี่ยโควตารมต.กันใหม่ พรรคของคุณพี ยังจะได้เป็นฝ่ายรัฐบาลอยู่อีกหรือเปล่า ก็ยังไม่รู้เลย
อุ้มค่าไฟสไตล์พีระพันธุ์ก็คือล้วงเงินจากกระเป๋ารัฐวิสาหกิจ แทนล้วงจากรัฐบาลกลาง โดยมิได้แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างแต่อย่างใดเลย เหมือนการซุกขยะไว้ใต้พรมมากกว่า