
Perfect Storm..คำนี้เสียววาบ
วันนี้เดี๊ยนขออนุญาตกระแดะจั่วหัวเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อสื่อให้เห็นความน่ากลัวของเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
วันนี้เดี๊ยนขออนุญาตกระแดะจั่วหัวเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อสื่อให้เห็นความน่ากลัวของเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม “โมนิก้า” จึงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้ฟังมากมาย เพราะผู้คนในแวดวงตลาดหุ้นรู้แล้วว่า สถานการณ์ต่อจากนี้จะเต็มไปด้วยข่าวร้าย ซึ่งจะกระทบกับความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน และจะเป็นตัวบั่นทอนความเชื่อมั่นในการลงทุนไงล่ะคะ
ด้วยเหตุนี้ถึงทำให้เดี๊ยนต้องหยิบยกคำว่า “Perfect Storm” หรือ “พายุลูกใหญ่” ซึ่งเป็นสำนวนที่ใช้เปรียบเปรยถึงสถานการณ์เลวร้ายที่สุด อันเป็นผลมาจากหลายปัจจัย หรือวิกฤตหลายอย่างมารวมกันในเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดความเสียหายที่รุนแรง และยากที่จะแก้ไขขึ้นมาจั่วหัว “โมนิก้า” ถึงไม่อยากสวมบทโลกสวยอีกต่อไป เพราะมันเห็นกันโต้ง ๆ ว่า หลายอย่างมันเละเทะเหลือเกินพะยะค่ะ
ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” มองการประคองตัวของดัชนีในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา น่าจะเป็นแค่การยื้อเวลาไม่ให้ดัชนีทิ้งตัวลงแรง วานนี้ถึงเห็นดัชนียืนปิดที่ระดับ 1,094.58 จุด ลบไป 19 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.60 หมื่นล้านบาทแบบเซ็ง ๆ เพราะถ้ามองเหตุการณ์ในช่วง 1 เดือนข้างหน้าจะเห็นว่า ยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ ๆ เข้ามาจรรโลงใจเลยจริง ๆ..แล้วตลาดหุ้นไทยจะขึ้นได้อย่างไรล่ะจ๊ะ
ขนาดหุ้น CPF ที่ได้ชื่อเป็นครัวโลก ยังถูกขายทิ้งแบบไม่มีเยื่อใย ทั้งที่โบรกเกอร์ให้ราคาเป้าสูงกว่า 30 บาทแบบนี้ มันหมายความว่า นักลงทุนสถาบันต้องการลดความเสี่ยงจากการถือหุ้น ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพแวดล้อมไม่เอื้อให้บริษัทเบ่งกำไรอีกต่อไป (ปัญหาซีพีเวียดนามกับเขมรยังคาราคาซัง) เดี๊ยนเลยสังหรณ์ใจการยืนปิดที่ระดับ 22.80 บาท ลบไป 2.20บาท หรือลงไป 8.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.84 พันล้านบาท คือภาพที่ยืนยันกลาย ๆ ว่า หุ้นมีโอกาสลงต่อสูงนะจ๊ะ
ส่วนรายที่ปรับตัวลงแบบไม่มีวอลุ่ม จนเดี๊ยนกังวลใจเป็นเวลานานก็คือ BJC และเรื่องนี้ดูไดจากราคาหุ้นในช่วงกลางเดือน พ.ค. อยู่ที่บริเวณ 24 บาท แต่วานนี้เห็นหุ้นลงมายืนที่บริเวณ 17.50 บาท โดยเป็นการปรับตัวลงประมาณ 6 บาท หรือลงไป 25% ก็รู้ได้ทันทีว่า นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับกำไรไตรมาส 2 ขณะเดียวกันก็มีแรงกดดันจาก “บิ๊กซี” เลื่อนเข้าตลาดหุ้นไม่กำหนด ส่งผลให้ภาพรวมของหุ้นดูไม่ดีสักเท่าไหร่ค่ะ
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถึงหุ้นโรงบาล CHG ขึ้นมาเปรียบเทียบให้เห็นถึงกำไรลดลงต่อเนื่องหลายปี (ปี 64 กำไร 4.20 พันล้าน ปี 65 กำไร 2.77 พันล้าน ปี 66 กำไร 1 พันล้านบาท ขณะที่ปี 67 กำไร 965 ล้าน) มันส่งผลกระทบกับราคาหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ อีฉันเลยกังวลใจว่า การยืนปิดที่บริเวณ 1.55 บาท ยังไม่ใช่จุดน่าซื้อ เพราะเที่ยวก่อนเคยเห็นราคาหุ้นลงมาทำโลว์ 1.40 บาทมาแล้วนะซี
ขนาดหุ้นชาเขียวตัวพ่ออย่าง ICHI ยังโดนเอฟเฟกต์จากกำลังซื้อที่ลดลง อันเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอย “โมนิก้า” จึงอยากให้นักลงทุนทำใจมากเป็นพิเศษ เพราะในช่วงไตรมาส 2 สภาพแวดล้อมหลายอย่างแย่กว่าที่คิดไว้มาก ส่วนไตรมาส 3 ก็เป็นโลว์ซีซั่นของทุกธุรกิจแบบนี้ เดี๊ยนถึงอยากให้นักลงทุนประเมินการยืนปิดที่ 9.95 บาท ท่ามกลางปันผลในแต่ละปีที่ระดับ 4% ยังเหมาะต่อการทยอยสะสมไหม?
สถานการณ์ข้างต้นคล้ายคลึงกับในรายของ TLI เพียงแต่รายนี้ยังทำผลงานได้เสมอต้นเสมอปลาย “โมนิก้า” เลยไม่แน่ใจว่า การทรุดตัวลงเรื่อย ๆ ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาเป็นผลมาจากความกังวลไตรมาส 2 หรือเปล่า? ผนวกกับ 3 ครั้งก่อนหน้านี้หุ้นลงมาบริเวณ 9.90 บาทแล้วเกิดปรากฏการณ์เด้งกลับในทันที เดี๊ยนจึงไม่แน่ใจว่า การที่หุ้นลงมาปิดที่ระดับ 9.55 บาท น่าเล่นขนาดไหน? เพราะสถานการณ์รอบด้านครั้งนี้ มันไม่เหมือนกับครั้งก่อนนะจะบอกให้
โมนิก้าและทีมงาน