
6 เรื่องร้อน..ทุบหุ้นยับ
ต่อจากนี้ไม่ว่าตลาดหุ้นไทยจะ “ขึ้น” หรือ “ลง” ก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับปัจจัยใหม่ ๆ มีอะไรเข้ามากระตุ้นความเชื่อมั่นมากน้อยเพียงใด
ต่อจากนี้ไม่ว่าตลาดหุ้นไทยจะ “ขึ้น” หรือ “ลง” ก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับปัจจัยใหม่ ๆ มีอะไรเข้ามากระตุ้นความเชื่อมั่นมากน้อยเพียงใด “โมนิก้า” จึงไม่อยากคาดหวังอะไรที่มากเกินไป เพราะสิ่งที่เห็น ณ เวลานี้ มันมีแต่เรื่องที่ทำให้หนักใจ ซึ่งคุณ ๆ ท่าน ๆ ก็คงรู้เต็มอกกันอยู่แล้วว่า การดีดตัวของหุ้นไทยเป็นแค่การขึ้นช่วงสั้น หลังปัญหาหลายอย่างเริ่มคลี่คลายไปทีละเปลาะไงล่ะคะ
ถึงกระนั้น “โมนิก้า” ก็อยากช่วยทบทวนความจำของแฟนคลับในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยโดนกระแทกจากเรื่องร้อน ๆ อะไรบ้าง ซึ่งอีฉันก็รวบรวมประเด็นใหญ่ ๆ ได้ทั้งหมด 6 เรื่องร้อน โดยแต่ละเรื่องก็ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการลงทุน และถูกแสดงออกด้วยการขายหุ้นทิ้ง จนดัชนีร่วงจาก 1,379.85 จุด ลงไปทำโลว์ที่ระดับ 1,056.41 จุด หรือปรับตัวลงราว 24% แบบนี้..เจ๊งกันถ้วนหน้าซิคะ
โดยเรื่องแรกที่เข้ามากระแทกตลาดหุ้นไทยตั้งแต่เดือน ม.ค. ก็หนีไม่พ้นเรื่องการไถ่ถอน LTF ที่ครบกำหนดเงื่อนไขถือครอง 7 ปีนับตั้งแต่ปี 61 ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 2.20 แสนล้าน และในเดือนดังกล่าวมีการไถ่ถอนมากถึง 1.80 หมื่นล้าน ต่อจากนั้นก็มีการไถ่ถอนมาเรื่อย ๆ จนในเดือน เม.ย. มียอดที่ยังไม่ไถ่ถอน 1.53 แสนล้าน ซึ่งทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งคลอดกองทุน TESG เพื่อเปิดช่องให้คนที่ถือ LTF โยกเงินมาไว้ที่กองทุนนี้แทน แต่สุดท้ายก็เฟลไม่เป็นท่า เพราะมีคนโยกเงินไม่เกินหมื่นล้านนะซี
ส่วนในเดือน ก.พ. ก็มีเรื่องที่ทำให้นักเล่นเห็นเค้าลางเศรษฐกิจของประเทศมีปัญหาชัดเจนมากขึ้น เมื่อยักษ์ใหญ่อย่าง “คิง เพาเวอร์” ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานสินค้าปลอดภาษีไม่มีเงินจ่ายหนี้ให้กับเจ้าของสถานที่อย่าง AOT โดยความง่อนแง่นของเจ้าพ่อดิวตี้ฟรีเกิดขึ้นตั้งปีต้นปี 67 ซึ่งเป็นการขยายเวลาชำระค่าตอบแทนขั้นต่ำออกไป 18 เดือน และตอนนี้มีแนวโน้มขอยกเลิกสัมปทานทั้งหมดเสียด้วย..หุ้นลูกอ๊อดถึงมีอาการไม่ค่อยดีไงล่ะจ๊ะ
ต่อมาในเดือน มี.ค. ตลาดหุ้นไทยก็โดนกระแทกจากเรื่องแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือน ซึ่งส่งผลให้ตึกหลายแห่งเกิดปัญหาแตกร้าว และในขณะเดียวกันก็พบว่า มีเหตุการณ์ตึก สตง. ถล่มเข้ามาอีก จึงสร้างความกังวลให้กับผู้คนมากมาย และทำให้ ตลท. ต้องประกาศหยุดซื้อขายในช่วงภาคบ่ายในทันที! เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย และตลาดหุ้นเปิดเทรดตามปกติอีกครั้ง ก็กลายเป็นว่า หุ้นอสังหาฯ โดนถล่มถ้วนหน้าเจ้าค่ะ
ถัดจากนั้นไม่ช่วงต้น เม.ย. ตลาดหุ้นไทยก็โดนกระแทกอีกดอกจากเรื่อง ‘สงครามการค้า’ โดยประเทศไทยโดนเก็บเพิ่ม 37% ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นในสัปดาห์แรกที่สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีร่วงไป 3.50% และทำให้ภาคธุรกิจต่าง ๆ ร้องระงมกันเป็นแถว เพราะเหมือนเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยให้ชะลอตัวลงไปอีก และในช่วงเวลาดังกล่าวก็ทำให้ผู้ประกอบการหยุดขยายงานเพื่อรอความชัดเจนเรื่องภาษีทรัมป์นะจะบอกให้
โดยในห้วงเวลาที่ทุกคนกำลังช็อก ก็ดันมีเรื่องช็อกกว่าเกิดขึ้นอีก แต่ครั้งนี้ดันเป็นปัญหาความขัดแย้งของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ถือหุ้น DUSIT จนทำให้การประชุมผู้ถือหุ้นล่มไม่เป็นท่า พร้อมกับเกิดเสียงซุบซิบนินทาดังไปทั่ว หลังผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง “บ.ชนัตถ์และลูก” โหวตคว่ำงบการเงิน ทั้งที่งบดังกล่าวผ่านการรับรองจากกกรรมการ และผู้สอบบัญชีอย่างถูกต้อง จึงกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของตลาดหุ้นไทย..เพราะมันไม่เคยมีเรื่องพรรค์นี้ขึ้นมาก่อนนะซี
ส่วนเรื่องที่กระแทกใส่ตลาดหุ้นไทยในเดือน มิ.ย. และเป็นเรื่องที่เลวร้ายสุดก็คือ “คลิปหลุด อุ๊งอิ๊ง” ซึ่งก่อให้เกิดความไม่พอใจวงกว้าง และมีการเรียกร้องให้ “ยุบสภา” หรือ “ลาออก” เพราะไม่ไว้ใจในตัวนายกฯ ว่า มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เป็นการส่วนตัวหรือเปล่า? แถมคลิปเสียงดังกล่าวยังทำให้ฐานรากรัฐบาลระส่ำ และทำให้ความสัมพันธ์กับ “เขมร” ขาดสะบั้น” ผู้คนเลยมองว่า รัฐบาลอาจอยู่ไม่ยาว ซึ่งทำให้ดัชนีทรุดลงมาที่โลว์เก่า 1,050 จุดไงล่ะคะ
โมนิก้าและทีมงาน