เม่าเริ่มเทกระจาด

เดิมที “โมนิก้า” จะเม้าท์ถึงสภาพของตลาดหุ้นไทยเป็นหลัก แต่ทันทีที่มี “เขมร” เปิดฉากยิ่งใส่ “ไทย” แบบไม่ยั้ง ก็ทำให้อีฉันเดือดดาลขึ้นมาอีกครั้ง


เดิมที “โมนิก้า” จะเม้าท์ถึงสภาพของตลาดหุ้นไทยเป็นหลัก แต่ทันทีที่มี “เขมร” เปิดฉากยิ่งใส่ “ไทย” แบบไม่ยั้ง ก็ทำให้อีฉันเดือดดาลขึ้นมาอีกครั้ง เพราะฝั่งไทยมีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตหลายราย และยังมีพลเรือนได้รับบาดเจ็บอีกด้วย อีฉันเลยเห็นด้วยกับฝ่ายทหารไทยที่ระดมยิงถล่มเพื่อเป็นการตอบโต้ เพราะวันนี้ไม่มีประโยชน์ที่จะทำตัวเป็นสุภาพบุรุษกับฝั่งโจรสันดานหยาบอีกต่อไป หลังของมันเห็นกันชัด ๆ ว่า เป็นพวกหมาลอบกัดไงล่ะคะ

ที่น่าสมเพชสุดก็คือ ก่อนหน้านี้รัฐบาลไทยดันมีอาการอ่อนปวกเปียกให้เห็นบ่อยครั้ง และไม่ได้แสดงท่าทีแข็งกร้าวเพื่อทำให้เขมรเกรงกลัวแม้แต่นิดเดียว ผู้คนมากมายเลยสงสัยว่า เป็นเพราะ “สทร.” หวาดกลัว “ฮุน เซน” จะออกมาแฉคลิปลับอีกหรือเปล่า? จึงไม่กล้าสั่งการให้ลูกกระจ๊อกลุยสุดซอย( เพิ่งจะมาโพสต์เห็นด้วยกับการเอาคืนเขมร) จึงทำให้รัฐบาลเพื่อไทยตกอยู่ในสภาพที่ดูแย่ลงไปอีก เพราะทำอะไรล่าช้าไปหมด (ก.ต่างประเทศทำงานห่วยมาก) นะซี

ส่วนบรรยากาศตลาดหุ้นไทยก็ไม่มีอะไรตื่นเต้นเร้าใจเหมือนในช่วงที่ดัชนีพุ่งขึ้นแรง เพราะเริ่มมีแรงขายทำกำไรออกมาเป็นระลอก ดัชนีเลยทรุดลงมาปิดที่ระดับ 1,212.49 จุด ลบไป 7.13 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.68 หมื่นล้านบาท พร้อมกับแสดงยอดขายของแมงเม่าเมื่อวันพุธจำนวน 5.45 พันล้าน ส่วนวันพฤหัสฯ ก็จัดไปอีก 764 ล้าน รวมยอดขายเดือน ก.ค. อยู่ที่ระดับ 1.61 หมื่นล้านบาทแบบนี้..ขายกันฉ่ำเลยนะคะ

สำหรับรายที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบแบบเต็ม ๆ คงต้องมองไปที่หุ้น CBG เพราะมีรายได้จากฝั่งเขมรสูงถึง 13% และผลกระทบดังกล่าวเริ่มเห็นชัดตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีนี้ และในครึ่งปีหลังจะกระทบมากขึ้นในไตรมาส 3 ซึ่งรวมถึงการเลื่อนเปิดโรงงานในเขมรปี 69 ออกไปไม่มีกำหนดแบบนี้ มันทำให้ราคาหุ้นซึมยาวอย่างเลี่ยงไม่ได้ และทำให้การยืนปิดที่52.25 บาท ลบไป 5.25 บาท หรือลงไป 9.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 729 ล้านบาท ไม่ใช่จุดรับของค่ะ

อีกรายที่น่าจะโดนหนักไม่แพ้กัน “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้น SAV ซึ่งทำธุรกิจควบคุมการจราจรทางอากาศทั่วน่านฟ้าประเทศกัมพูชาเพียงผู้เดียวแบบนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่บีบให้นักลงทุนต้องขายหุ้นทิ้ง เพราะธุรกิจสายการบินได้รับผลกระทบจากเรื่องสงครามเต็ม ๆ วานนี้ถึงเห็นหุ้นรูดลงมาปิดที่ระดับ 11.60 บาท ลบไป 1.10 บาท หรือลงไป 8.65% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 52 ล้านบาทเจ้าค่ะ

ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถึงหุ้น BH เพื่อชี้ให้เห็นผลกระทบจากคนไข้ต่างชาติลดลงไม่ทันไร ล่าสุดมาเจอผลกระทบสงครามเขมรเข้าไปอีกดอก อีฉันเลยสงสัยว่า ราคาหุ้นจะขยับขึ้นไปได้อย่างไร? และการยืนปิดของหุ้นที่ระดับ 146.50 บาท บวกไป 1.50 บาท หรือขึ้นไป 1% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 599 ล้านบาท มันคือการแสดงถึงความกังวลที่มีต่อกำไรลดได้จางหายไปแล้วใช่ไหม?..ใครรู้ช่วยตอบหน่อยค่ะ

ส่วนรายที่รับรู้ผลกระทบจากเขมรหมดแล้วอย่างหุ้น OR ก็ยืนต้านแรงขายได้อย่างเหนียวแน่น “โมนิก้า” ถึงไม่วอรี่เมื่อเห็นราคาหุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 13 บาท ลบไป 0.30 บาท หรือลงไป 2.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 236 ล้านบาท เพราะผลงานโดยรวมยังทำได้ดี แถมกำไรไตรมาส 1 ได้แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวของกำไรอย่างชัดเจน จึงทำให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ระดับ 16 บาทแบบนี้..น่าเล่นไหมเอ่ย?

ตบท้ายด้วยเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับหุ้น JTS กันดีกว่า เพราะในช่วงที่ผ่านมาราคาบิตคอยน์ก็ทรงตัวอยู่ในระดับสูง แต่กลับไม่ช่วยให้ราคาหุ้นตัวนี้กระเตื้องขึ้นเลย “โมนิก้า” เลยอยากรู้ว่าเป็นเพราะเหตุอะไร? ผนวกกับการลงมายืนปิดที่ระดับ 32.25 บาท ลบไป 2.75 บาท หรือลงไป 7.85% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 81 ล้านบาท มันเป็นฐานเก่าที่หุ้นย่ำมานาน และยังเป็นจุดเด้งที่ทำให้หุ้นขึ้นไปแถว 40 บาท จึงทำให้เดี๊ยนสนใจมากเป็นพิเศษเจ้าค่ะ

โมนิก้าและทีมงาน

Back to top button