คลายปมปริศนา ‘ต่างชาติ’ Net sell หุ้นไทยต่อเนื่อง 10 วัน SET INDEX กลับไม่สะเทือน

ปริศนา เหตุการณ์ ความแข็งแรง (เกินปกติ) ของ SET INDEX ที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของเดือน สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา มีนักลงทุนต่างชาติ ทยอยเทขายหุ้นไทยทิ้ง


ปริศนา เหตุการณ์ ความแข็งแรง (เกินปกติ) ของ SET INDEX ที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของเดือน สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา มีนักลงทุนต่างชาติ ทยอยเทขายหุ้นไทยทิ้ง นับตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม 2568 จนถึงสิ้นเดือน (28 ส.ค.) ระยะเวลารวม 13 วันทำการ โดยมียอดรวม net sell สูงถึง -2 หมื่นล้านบาท 

โดย SET INDEX ปิด ณ วันที่ 8 สิงหาคม ปิดที่ระดับ 1,259 จุด ซึ่งเป็นดัชนีเริ่มต้น ของแรงขายหุ้นในวันที่ 13 ส.ค. จนถึงวันที่ 28 ส.ค. ดัชนีปิดที่ 1,250 จุด ลดลง -9 จุด กับเม็ดเงินที่หายไป 2 หมื่นล้านบาท

โดยในช่วงเวลาดังกล่าว มีเหตุการณ์พิเศษของการ net sell ที่เป็น นักลงทุนต่างชาติ แทรกเข้ามา คือ กลุ่ม SACA ขายหุ้น TIDLOR จำนวน 8 พันล้านบาท ให้กับ BAY ในวันที่ 13 สิงหาคม ซึ่งวันนั้น นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ -6.65 พันล้านบาท 

นอกจากนี้ ยังมีออร์เดอร์ rebalancing การลดน้ำหนักของ MSCI เข้ามาประสมโรงด้วยอีกไม่ต่ำกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ 

หาก หักยอด net sell ของวันที่เกิดธุรกรรม ของ TIDLOR ออกไป การขายของนักลงทุนต่างชาติ ก็ยังสูงอยู่ในระดับ 1.2 หมื่นล้านบาทอยู่ดี

ทำให้ยิ่งเกิดความสงสัย เพิ่มอีกว่า อะไรคือ เหตุผลที่ทำให้หุ้นไทยไม่ร่วงแรง ตามแรงเทขายของ นักลงทุนต่างชาติ 

ประเด็นหลัก คือ 1.สภาพคล่อง (Liquidity) ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยมีปริมาณ สภาพคล่องที่เพิ่มมากขึ้น 

ทำให้ สามารถรับแรงกระแทก หรือแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ เมื่อเทียบกับช่วงที่ไม่มีสภาพคล่อง  หรือ สภาพคล่องน้อย 

ปริมาณสภาพคล่องที่ว่า คือ ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเป็น 5.3 หมื่นล้านบาท เทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ อยู่ที่ประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาทต่อวัน

ช่วงที่ตลาดหุ้นวอลุ่มต่ำกว่า 2-3 หมื่นล้านบาท ต่อวัน การขายของนักลงทุนต่างชาติ จะมีผลกระทบต่อดัชนี เพราะมีแต่คนขาย ไม่มีคนซื้อ หุ้นก็จะร่วงหนัก

2.นักลงทุนสถาบันในประเทศและรายย่อย เข้ามาซื้อชดเชย

แม้นักลงทุนต่างชาติ จะขายหนัก  แต่ยังมีแรงซื้อจาก กองทุนในประเทศ หรือ นักลงทุนรายย่อย ที่เป็นฐานสำคัญในการรักษาเสถียรภาพตลาด การซื้อของกลุ่มเหล่านี้ช่วยลดแรงกดดันจากการขายของต่างชาติได้

3.ตลาดฟื้นตัวจาก ภาษีสหรัฐฯ และเก็งกำไรงบไตรมาส 2/68

ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวจากปัจจัยบวก เช่น ความคืบหน้าในสถานการณ์ การคลี่คลายของความตึงเครียด จากการเจรจาการค้าทางด้านภาษี กับสหรัฐฯ 

รวมถึงการลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองชายแดน เช่น ไทย-กัมพูชา 

อีกทั้งการเข้ามาเก็งกำไรผลประกอบการ และข่าวการจ่ายปันผลในช่วงไตรมาส 2

3.การประเมิน Valuation ที่น่าสนใจ “หุ้นถูก”

ดัชนีตลาดไทยยังมี P/E Ratio ที่ต่ำเมื่อเทียบกับตลาดพัฒนาแล้ว (อยู่แถว ๆ 13 เท่า) ทำให้หุ้นได้ราคาน่าสนใจ เป็นแรงดึงดูดให้มีแรงซื้อกลับเข้ามา แม้ต่างชาติขายออก   

การมองว่า “หุ้นไทยถูก” ในแง่ valuation ยังทำให้การขายของต่างชาติไม่กดดันตลาดจนเกิดการแพนิก ขายตามกันออกมา

4.ต่างชาติอาจใช้การขายเพื่อทำกำไรระยะสั้น และยังถือสินทรัพย์ระยะยาวในตลาด

โดยแนวโน้ม การเคลื่อนย้ายเงินทุน (Fund Flow) ยังมีโอกาสกลับมา แม้มี Net Selling ต่อเนื่องจากต่างชาติ  แต่ในเดือนกรกฎาคม 2568 มีสัญญาณ Fund Flow กลับเข้าตลาดหุ้นไทย 

โดยต่างชาติซื้อสุทธิกว่า 15,964 ล้านบาทในเดือนกรกฎาคม ซึ่งช่วยสนับสนุน SET Index ให้ปรับขึ้นถึง +13.97%   

นั่นหมายความว่า แม้ช่วง 10 กว่าวันที่ผ่านมา หุ้นไทยอาจถูกขาย แต่ยังมีความเป็นไปได้ที่ Fund Flow กลับเข้ามาต่อเนื่องในอนาคตอันใกล้

อย่างไรก็ตาม คงต้องรอลุ้น ว่าหลังผลคำตัดสิน ของศาลรัฐธรรมนูญออก จะกระทบต่อทิศทาง fund flow และหุ้นหรือไม่?

อึ้งย้ง

Back to top button