ยินดีต้อนรับกลุ่ม NEP Watch (1)

เป็นที่น่ายินดี ที่มีการรวมตัวของผู้ที่สนใจเรื่องพลังงานแห่งชาติ ซึ่งที่ผ่านมารัฐวิสาหกิจกลุ่มพลังงานประกอบด้วย กฟผ., กฟภ., กฟน. และ ปตท. ร่วมกับภาคเอกชนเพียงรายเดียวคือ GULF ทำการผูกขาดธุรกิจนี้อย่างเบ็ดเสร็จ


เป็นที่น่ายินดี ที่มีการรวมตัวของผู้ที่สนใจเรื่องพลังงานแห่งชาติ ซึ่งที่ผ่านมารัฐวิสาหกิจกลุ่มพลังงานประกอบด้วย การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ร่วมกับภาคเอกชนเพียงรายเดียวคือบริษัท กัลฟ์ อิเล็คทริคดีเวลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ทำการผูกขาดธุรกิจนี้อย่างเบ็ดเสร็จนับตั้งแต่ การสำรวจ การผลิตและการขาย

นายอาทิตย์ เวชกิจ นายกสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (RE100) กล่าวในเวทีเสวนา “ปฏิรูปพลังงานไทย : ธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วม…ก้าวต่อไปอยู่ตรงไหน?” โดยเสนอให้ภาคส่วนต่าง ๆ จัดตั้งกลุ่ม “NEP Watch” เพื่อติดตาม ตรวจสอบ และผลักดันความโปร่งใสของแผนพลังงานชาติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ภาครัฐอยู่ระหว่างการจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (Power Development Plan: PDP) ฉบับใหม่  จึงเรียกร้องให้การทำแผน PDP ต้องเปิดเผยข้อมูลทุกขั้นตอน และมีการเผยแพร่รายงานการประชุมต่อสาธารณะทุกครั้ง และรับฟังเสียงประชาชนตั้งแต่ต้น เพื่อให้เป็น “แผนพลังงานของประเทศ” (National Energy Plan: NEP)

“ปัญหาพลังงาน สะท้อนชัดเจนจากความล่าช้า และไม่โปร่งใสในการจัดทำ PDP ที่ยังคงเน้นพลังงานฟอสซิล ขณะที่โรงไฟฟ้าหมุนเวียนจำนวนมากไม่สามารถเชื่อมกับสายส่งได้ ทำให้เกิด “กับดักไฟไม่พอ” โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่าง EEC ทุกวันนี้ประเทศไทยขาดธรรมาภิบาลอย่างมากในด้านพลังงาน จนทำให้ค่าไฟแพง เราสร้างโรงไฟฟ้าจำนวนมากที่ไม่ได้เดินเครื่องผลิต แต่ประชาชนยังต้องจ่ายเงิน ขณะที่เศรษฐกิจกลับชะลอตัว เพราะรัฐอ้างว่าไฟฟ้าไม่เพียงพอในการให้บริการแก่ภาคอุตสาหกรรม เป็นไปได้อย่างไร” นายอาทิตย์ ตั้งคำถาม

ผศ.ประสาท มีแต้ม อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า ตลอด 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญความเปราะบางด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งการนำเข้าพลังงานเพิ่มขึ้นจาก 2.7% ของ GDP เมื่อปี 2536 เป็น 10% ในปี 2566 และความสามารถพึ่งพาตนเองด้านพลังงานลดจาก 75% เหลือเพียง 32% โดยเฉพาะช่วงวิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครน ตัวเลขลดลงเหลือ 16% ขณะที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก จาก 41% ในปี 2536 เพิ่มเป็น 92% ในปี 2566 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนไทยแบกค่าไฟแพงมาก

“โครงสร้างการผลิตไฟฟ้าของไทย ยังพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินสูง ขณะที่พลังงานหมุนเวียน มีเพียง 5% ต่ำกว่าเวียดนามที่ผลิตได้ถึง 28% และยิ่งตอกย้ำปัญหาความเหลื่อมล้ำ ค่าไฟแพง และความเสี่ยงจากโลกร้อน ที่จะกระทบต่อรายได้ประชาชนในระยะยาว และไทยจะกระทบหนักกว่าประเทศอื่น” 

น.ส.ชื่นชม สง่าราศี กรีเซน นักวิชาการอิสระด้านไฟฟ้า ระบุว่า โครงสร้างพลังงานของไทย ถูกผูกขาดโดยกลุ่มทุนพลังงานและรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ ตั้งแต่ยุคของทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งถือเป็นการลดทอนอำนาจของฝ่ายราชการ และนำอำนาจรัฐไปแสวงหาผลกำไรทางธุรกิจ การที่รัฐบาลมีสิทธิกำหนดราคาหุ้น ปตท.ได้ ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของ “การทุจริตทางนโยบาย” (Policy Corruption) และเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาธรรมาภิบาลที่ส่งผลสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน  กลุ่มทุนขนาดใหญ่ในภาคพลังงาน มีอำนาจฝังรากลึกจนกลายเป็น “Deep State” ซึ่งหมายถึงการที่มีกลุ่มอำนาจใดอำนาจหนึ่งดำเนินการอยู่เบื้องหลังรัฐ สามารถแทรกแซงกลไกทางการเมือง และนโยบายสาธารณะ ส่งผลกระทบต่อโอกาสของผู้ประกอบการรายใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจพลังงานหมุนเวียน แม้ว่าต้นทุนการผลิตพลังงานสะอาดจะถูกลง จนผู้ประกอบการรายเล็กสามารถแข่งขันได้ แต่กลับถูกกีดกันหรือบดบังโดยทุนใหญ่   กลุ่มทุนพลังงาน และข้าราชการ ที่สมยอมผลประโยชน์กับการเมือง

น.ส.สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระด้านการเงิน ได้เสนอ 5 แนวทางในการปฏิรูปพลังงาน คือ 1. แผน PDP ต้องเชื่อมโยงกับกฎหมายโลกร้อน และพันธสัญญานานาชาติ 2. เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง 3. ใช้สิทธิทางกฎหมายฟ้องร้อง กกพ. หากละเลยหน้าที่ในการปกป้องสิทธิผู้ใช้ไฟ และส่งเสริมความเป็นธรรมในการแข่งขัน 4. ป้องกันการฟ้องปิดปากของกลุ่มทุน และ 5. ผลักดันให้ กกพ.เป็นองค์กรอิสระอย่างแท้จริง

วิษณุ โชลิตกุล

Back to top button