
‘เวียดนาม’ อัพเกรดสู่ Emerging Market
บรรดานักลงทุนและคนในแวดวงตลาดหุ้นเวียดนาม ต่างพากันชื่นชมยินดี ล่าสุด FTSE Russell ประกาศอัพเกรดสถานะของเวียดนามจาก “ตลาดชายขอบ” สู่ “ตลาดเกิดใหม่”
บรรดานักลงทุนและคนในแวดวงตลาดหุ้นเวียดนาม ต่างพากันชื่นชมยินดี ล่าสุด FTSE Russell ประกาศอัพเกรดสถานะของเวียดนามจาก “ตลาดชายขอบ” (Frontier Market) สู่ “ตลาดเกิดใหม่” (Emerging Market) เริ่มมีผลอย่างเป็นทางการวันที่ 21 กันยายน 2569
ถือเป็นความสำเร็จสำคัญที่เวียดนาม เฝ้ารอมานานกว่า 6 ปี นับตั้งแต่ถูกบรรจุในรายชื่อประเทศที่อยู่ระหว่างการพิจารณาเมื่อปี 2561
การปรับสถานะดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึง “การพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานตลาดทุนที่สำคัญ” ของเวียดนาม โดยเฉพาะการปฏิรูปกฎระเบียบเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล อย่างเช่น การยกเลิกข้อกำหนดให้ชำระเงินล่วงหน้า ก่อนทำธุรกรรมสำหรับนักลงทุนต่างชาติและการยกเลิกข้อจำกัดในการกำหนดสัดส่วนการถือครองต่างชาติ ที่ต่ำกว่ากฎหมายกำหนด รวมถึงเปิดตัวระบบซื้อขาย KRX (Korea Exchange) ที่ยกระดับความโปร่งใสและประสิทธิภาพของระบบตลาดทุน
โดย FTSE Russell ประเมินว่า การเปลี่ยนสถานะครั้งนี้ อาจนำเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติเข้ามาเพิ่มเติมระหว่าง 3,500-6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 113,750-195,000 ล้านบาท) ขณะที่ HSBC ประเมินว่า กระแสเงินกว่า 3,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 110,500 ล้านบาท) ยังมีแนวโน้มไหลเข้าสู่ตลาดเวียดนามต่อไป
ฟาก Wells Fargo (สถาบันทางการเงินและบริษัทบริการทางการเงินชั้นนำของสหรัฐฯ) บ่งชี้ว่าการอัพเกรดนี้น่าจะผลักดันให้ค่าเงินดองแข็งค่าขึ้น แต่ว่าสิ่งสำคัญคือการรักษาเสถียรภาพของเงินทุนไหลเข้าระยะยาว โดยรัฐบาลเวียดนาม มีเป้าหมายต่อไปคือการผ่านเกณฑ์ของ MSCI Emerging Market ภายในปี 2030
ในแง่ตัวเลขเศรษฐกิจเวียดนาม ถือว่ามีการเติบโตอย่างโดดเด่น โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม รายงานตัวเศรษฐกิจไตรมาส 3/68 ปรากฏว่า ตัวเลขจีดีพีเติบโตสูง 8.23% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
ทำสถิติเศรษฐกิจเติบโตเร็วสุดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (นับตั้งแต่ปี 2565) ถือเป็นตัวเลขจีดีพีสูงกว่าหลายฝ่ายคาดการณ์ไว้มาก จากเดิมคาดการณ์ว่าตัวเลขเติบโตระดับ 7.15% และมีโอกาสที่จะเป็นตัวเลขเติบโตมากสุดจาก 11 ประเทศอาเซียน..
ปัจจัยหลักมาจากภาคการผลิตอุตสาหกรรม มีตัวเลขเพิ่มขึ้น 9.92% ช่วง 9 เดือนแรกปี 2568 โดยผลสำรวจของรัฐบาลเวียดนาม พบว่า 77% ของธุรกิจภาคเอกชนที่อยู่ในเวียดนาม มียอดการส่งออกเพิ่มสูงขึ้น หรือเท่ากับยอดเดิมช่วงไตรมาส 2//68
ท่ามกลางมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs )ของสหรัฐฯ ที่บังคับใช้กับเวียดนาม อัตรา 20% นับตั้งแต่ 7 ส.ค. 68 (กลางไตรมาส 3/68)
ภาคการส่งออกช่วงก.ย. 68 พบว่า เวียดนาม สามารถส่งออกเติบโต 24.7% สอดรับการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น 24.9% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปี 2567 ที่ผ่านมา ขณะที่ยอดการลงทุนทางตรง (FDI) เวียดนาม ช่วง 9 เดือนแรก เติบโต 15.2% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
ขณะที่ “เศรษฐกิจ” เติบโตอย่างแข็งแกร่งและ “ตลาดหุ้น” ที่มีพัฒนาการเชิงบวกของเวียดนาม
แต่เศรษฐกิจไทยกลับอ่อนแอ..เฉกเช่นความเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทยที่ถดถอย มูลค่าซื้อขายที่เหือดแห้ง..ทำให้น่าวิตกอย่างยิ่งว่าฟันด์โฟลว์ ที่ต่างเฝ้าตั้งตารอกันมาทั้งปี จะเบนเข็มไหลเข้าสู่ตลาดเวียดนามแทน